วิธีเข้าหลังบ้าน WordPress

  1. พิมพ์ url ชื่อเว็บตัวเองแล้วพิมพ์ /wp-admin ต่อท้าย ตัวอย่างเช่น https://wordpress.com/wp-admin
  2. ใส่ข้อมูล Username และ Password ลงไป
  3. คลิก Log in

เสร็จแล้วก็จะเจอ Dashboard หน้าตาแบบนี้ค่ะ

วิธีทำเพิ่ม Blog Post (บทความ)

เมื่อเรามีเว็บไซต์ WordPress เป็นของตัวเองแล้ว ส่วนสำคัญที่จะขาดไม่ได้เลยก็คือ ส่วนของบทความหรือ Blog Post เพื่อให้เว็บของเรามีคุณค่าและมีประโยชน์กับคนอ่านมากขึ้น เป็นทั้งการสร้างแบรนด์ดิ้งและทำมาร์เก็ตติ้งออนไลน์ไปในตัวด้วย ซึ่งก็จะช่วยเพิ่มทราฟฟิคและเพิ่มยอดขายให้กับเราไปในตัว

1. Log in เข้าหลังบ้านเว็บของเรา

เราต้องพิมพ์ชื่อเว็บตัวเองแล้วต่อท้ายด้วย wp-admin เช่น https://webwordpress.com/wp-admin เพื่อเข้าหลังบ้าน จากนั้นเลือก Dashboard => Post => Add New

2. ตั้งชื่อบทความให้น่าสนใจ

และตั้งชื่อ Permalink เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้เวลาที่เรานำบทความไปแชร์ตัวลิ้งจะเป็นคำสวยๆ ไม่เป็นภาษาต่างดาว ช่วยให้คนกล้าคลิกลิ้งค์เข้ามาดูมากขึ้น

วิธีเพิ่มบทความ wordpress

3. ใส่เนื้อหาบทความของเรา

ใส่เนื้อหาตัวหนังสือเป็นบทนำ เพื่อเชิญชวนให้คนอยากอ่านเนื้อหาข้างในเพิ่มเติม แนะนำให้ขึ้นบรรทัดใหม่ทุก 4-5 บรรทัดเพื่อให้ตัวบทความอ่านง่ายขึ้น และเรายังสามารถทำตัวหนังสือให้เป็น H2 H3 H4 ตัวหนา ตัวบาง ตัวเอง เพื่อเน้นคำหรือข้อความได้เลย อ้อ อย่าลืมติ๊กถูกเลือกหมวดหมู่ให้บทความของเราด้วยนะ ดูที่ด้านซ้ายมือของเรา คำว่า Categories

ถ้ายังไม่ได้ตั้งหมวดหมู่บทความ ให้เราไปที่ Post => Categories จากนั้นให้เราตั้งชื่อหมวดหมู่ที่ช่อง Name เป็นภาษาไทยหรืออังกฤษก็ได้ ส่วนช่อง Slug จะเป็นชื่อลิ้งค์ แนะนำให้ใช้ภาษาอังกฤษเท่านั้น เมื่อตั้งชื่อเรียบร้อยคลิกที่ Add New Category เป็นอันเสร็จ

4. ใส่ลิ้งค์ดูข้อมูลเพิ่มเติม

ในกรณีที่เราอยากใส่ลิ้งค์เพื่อให้ดูตัวอย่างข้อมูลในหน้าอื่น สามารถทำได้ด้วยการลากครอบข้อความ จากนั้นคลิกที่เครื่องหมายลูกโซ่ แล้วเอาลิ้งค์ที่ Copy ไว้มาวางในช่อง จากนั้นคลิกที่ปุ่มลูกศรสีน้ำเงินได้เลย

แต่ถ้าเราต้องการส่งลิ้งค์ออกไปเว็บอื่นข้างนอก ให้เราเลือกที่เครื่องหมายรูปเฟือง แล้วเลือกติ๊กถูกที่คำว่า Open link in a new tab เพื่อให้เปิดหน้าต่างใหม่ขึ้นมา โดยที่หน้าเว็บเดิมของเราก็ยังคงอยู่

5. ใส่ภาพประกอบ

เราสามารถใส่ตัวหนังสือ รูปภาพ คลิปวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเราได้เลย จะใส่ภาพให้คลิกที่ Add Media

  • ขนาดภาพที่แนะนำคือ 1000 x 700 px (ความสูงภาพ ไม่บังคับ) ส่วนไฟล์ภาพไม่ควรเกิน 100 KB เพื่อให้เว็บโหลดภาพได้เร็วและคนที่เข้ามาดูอยู่กับเว็บเราได้นานขึ้น
  • ใส่ภาพหน้าปกบทความที่ด้านซ้ายมือตรงคำว่า Featured Image ด้วยนะ จะใช้เป็นขนาดสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือภาพจตุรัสก็ได้ตามใจเจ้าของ แต่ถ้าเน้นสะดวกใช้ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าดีกว่าค่ะ

ใส่ Alternative Text หรือ Alt text ที่รูปด้วยนะ เพื่อให้ Google รู้ว่านี่คือภาพอะไร

6. ทำ SEO บนบทความ

ก่อนอื่นเลยให้เราติดตั้งปลั๊กอิน Yoast SEO บนเว็บของเราก่อน พอติดตั้งเสร็จถึงจะมีช่องพวกนี้ขึ้นมา ซึ่งเราต้องกำหนดคำ Keyword ที่อยากให้คนค้นเจอบนบทความของเรา ที่ช่อง Focus keyphrase จากนั้นคลิกที่คำว่า Edit snippet

เมื่อใส่ Keyword เสร็จ ให้เราตั้งชื่อ SEO title โดยให้มีคำคีย์เวิร์ดที่เรากำหนดไว้อยู่ในนั้นด้วย พิมพ์ข้อความให้มีความน่าสนใจและมีความยาวจนขึ้นเป็นแถบสีเขียว จากนั้นให้ใส่คำอธิบายลงที่ช่อง Meta Description ด้วย โดยมีคำคีย์เวิร์ดอยู่ด้วยเหมือนเดิม และพิมพ์ข้อความจนกว่าจะขึ้นแถบสีเขียว ยิ่งปริ่มได้ยิ่งดี ใส่คำคีย์เวิร์ดที่ Alt text ของภาพประกอบบทความด้วย

ดูวิธีทำ SEO ด้วยตัวเองอย่างละเอียดได้ที่นี่ค่ะ 25 Tips and Trick ในการทำ SEO 

7. เขียนสรุป

เราควรเขียนสรุปข้อมูลด้วยทุกครั้งเพื่อให้คนที่เข้ามาอ่านได้เข้าใจว่าเรากำลังสื่อสารอะไร พร้อมทั้งบอก Call to action เช่น สนใจข้อมูลเพิ่มเติม คลิก สอบถามเรื่องสินค้าเพิ่มเติมคลิกที่นี่ เป็นต้น

8. ใส่ Excerpt (พรีวิวเนื้อหา)

เลือก Screen Option ด้านบน เลือกติ๊กถูก Excerpt

เลื่อนลงมาด้านล่างที่ช่อง Excerpt ใส่เนื้อหาขนาดย่อประมาณ 1-2 บรรทัด

9. คลิก Publish

เมื่อเราใส่ข้อมูลบทความทุกอย่างครบถ้วนแล้ว เราก็กด Publish เป็นอันเสร็จ เราก็จะได้บทความเพิ่มขึ้นมา 1 อัน พร้อมให้คนเข้ามาอ่านแล้ว

สรุป วิธีเพิ่มบทความ wordpress

ถ้าเราอัพบล็อกโพสต์ได้ถูกวิธีจะช่วยให้คอนเท้นท์ของเราน่าอ่าน มีความน่าสนใจ และมีเปอร์เซ็นต์ในการติดอันดับบนหน้าแรก Google ได้มากขึ้นด้วย ยิ่งไปกว่านั้นการที่เว็บไซต์ของเรามีเนื้อหาบทความเชิงลึกมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เว็บเราดูมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นเท่านั้น คนที่เข้ามาอ่านจะกล้าซื้อสินค้าและใช้บริการของเรามากขึ้นตามไปด้วย   สนใจอยากมีเว็บไซต์สวยๆ ของตัวเอง ดูเพิ่มเติมที่นี่ค่ะ

วิธีทำบทความ SEO

จุดประสงค์ที่เราเขียนคอนเท้นท์ SEO ส่วนหนึ่งก็เพื่อการทำการตลาดผ่านทางบทความที่มีประโยชน์ต่อผู้อ่านของเรานั่นเอง และอีกส่วนหนึ่งของการเขียนคอนเท้นท์เหล่านี้ก็เพื่อให้คนอื่น Refer หรือทำลิ้งค์มาหาที่เว็บของเรานั่นเอง ถึงจะบอกได้อย่างเต็มภาคภูมิว่าเว็บของเรานั้นมีประโยชน์จริง เจ๋งจริง แล้วจะยิ่งช่วยให้อันดับเว็บเราดีขึ้น สร้างยอดขายได้มากขึ้นด้วยนะคะ เล่ามาซะยาว

อันที่จริงแล้ว ขั้นตอนการทำ SEO ก็ไม่ยากเท่าไหร่ ถ้าใจถึงนะคะ มาค่ะ เริ่มกันเลยดีกว่า วิธีการที่กล่าวมานี้จะใช้ได้ดีกับเว็บไซต์ที่ทำบน WordPress เราสามารถโหลดปลั๊กอินตัวช่วยฟรี ที่ทำให้คนที่ไม่ได้รู้เรื่องไอทีอะไรเยอะแยะ สามารถสร้างคอนเท้นท์ SEO ได้ดีติดอันดับกูเกิลได้ค่ะ

1. ติดตั้งปลั๊กอิน Yoast SEO

เข้ามาที่หน้า Dashboard ของเว็บไซต์เรา จากนั้นก็เลือกคำว่า Plugins และ Add new หาปลั๊กอินนี้แล้วก็ทำการ install ซะ แล้วชีวิตในการทำบทความ SEO จะง่ายขึ้นเยอะ เจ้าปลั๊กอินตัวนี้จะมีให้ใช้ฟรีอยู่บน WordPress ไม่ต้องเสียเงินค่ะ

Yoast SEO

จากภาพด้านล่างจะเห็นว่า Yoast SEO เค้ามีเกณฑ์เป็นข้อๆบอกไว้เลยให้เราสามารถทำตามได้ง่ายๆ ถ้าเราเขียนคอนเท้นท์ได้ตรงตามเกณฑ์ก็จะขึ้นไฟเขียวทีละอัน ยิ่งเราทำไฟเขียวได้มาก ก็ยิ่งช่วยให้คอนเท้นท์เรามีเปอร์เซ็นต์สูงที่จะติดอันดับบนกูเกิลค่ะ

วิธีทำ SEO อย่างง่าย 4

2. กำหนดคีย์เวิร์ด

เราควรกำหนดคีย์เวิร์ดที่เราอยากจะให้ติดอันดับกูเกิล เช่น คำว่า อาชีพออนไลน์ และถ้าจะให้ดีต้องลองเอาคำนี้ไปเช็คเรตติ้งดูก่อน ว่ามีการค้นหาเยอะมั้ย แล้วบทความของคนอื่นเป็นอย่างไรบ้างเหมือนหรือต่างจากสิ่งที่เรากำลังจะเขียนอย่างไร เราทำให้ดีกว่าเค้าได้หรือไม่ เช่น บทความเค้าอาจจะมีแค่ 200 คำ

งั้นเราก็ต้องเขียน 300 คำ ของเค้ามีรูปเดียว ของเราก็ต้องมี 5 รูปเลย ใส่คลิปวิดีโอแถมด้วย ใส่ข้อมูลให้เต็มที่เลยค่ะ คนจะได้ชอบข้อมูลและเชื่อว่าเราคือตัวจริง รู้ละเอียด ถ้าเราทำให้เค้าชอบได้ แล้วสามารถวนกลับมาอ่านบทความเราอีกได้ก็ถือว่าสำเร็จแล้วค่ะ

3. ตั้งชื่อบทความโดยใส่คีย์เวิร์ดของเราลงไปด้วย

เมื่อเราได้คำที่คิดว่าใช่แล้ว ก็จัดการนำคำนั้น มาแต่งเป็นชื่อบทความด้วยนะคะ และที่สำคัญคือต้องเขียนโปรยข้อความให้ดูน่ากดเข้ามาอ่านด้วย เช่น อาชีพออนไลน์ ทำเงิน 2018 ไม่ต้องลงทุนเยอะ ประมาณนี้ค่ะ ใส่ไว้ที่ SEO Title ได้เลย ดูความยาวให้เหมาะสมด้วยนะคะ เขียนให้ขึ้นแถบเขียวปริ่มๆเกือบเต็ม จะดีมากค่ะ

4. จำนวนคำในบทความต้องมีความยาว 300 คำขึ้นไป

ถ้ามีเว็บไซต์อยู่แล้วเราสามารถเช็คได้จากในหน้า Blog Post ด้านล่างได้เลย หรือจะดูจาก Yoast SEO ก็ได้ เค้าจะนับคำด้วยวิธีของเค้าให้เรา แต่ถ้าเราอยู่ในขั้นเตรียมข้อมูลก็สามารถนำเอาบทความมานับคำได้ที่เว็บ th.wordcounter360.com ได้เลยค่ะ ใช้นับคำได้ใกล้เคียงกัน

5.ตั้งชื่อ slug ของบทความเป็นภาษาอังกฤษ

ตามหลักเค้าจะบังคับให้เราใส่คีย์เวิร์ดลงไปด้วยในส่วนของ Slug หรือที่อยู่ลิ้งค์ที่เรียกว่า Url ส่วนใหญ่แล้วคีย์เวิร์ดหรือคำที่เราใช้กันจะเป็นภาษาไทย ซึ่งมันจะมีปัญหาตอนที่เราก็อปปี้ลิ้งค์ไปแชร์ตามที่ต่างๆ ลิ้งค์มันจะกลายเป็นภาษาต่างดาวแล้วก็ยาวมากๆ ทำให้ไม่สวยนะคะ เพราะฉะนั้นข้อนี้ยกเว้นได้ค่ะ ตั้งชื่อลิ้งค์เป็นภาษาอังกฤษดีกว่าค่ะ

6.ใส่คีย์เวิร์ดลงใน Meta description

เป็นการอธิบายบทความแบบกระชับ เอาส่วนของย่อหน้าแรกในบทความมาซัก 2 บรรทัด โดยที่ในย่อหน้านี้ต้องมีคีย์เวิร์ดอยู่ด้วยนะคะ เช่น …. อาชีพออนไลน์ …. และที่จะแนะอีกนิดคือ กูเกิลเค้าไม่ค่อยถนัดภาษาไทยเท่าไหร่ เวลาใส่คีย์เวิร์ดแล้วเขียนติดกันเป็นพรืด เค้าจะหาไม่เจอค่ะ เพราะฉะนั้นเลยต้องมีการเว้นวรรคให้คำนั้นๆด้วย เค้าจะได้หาคำสำคัญให้เราได้ง่ายๆนะคะ ยังค่ะ ยังไม่หมด ตอนที่เราใส่ข้อความลงไป ให้ดูแถบสีเขียวด้วยนะคะ ต้องพยายามใส่เนื้อหาลงไปให้แถบสีเขียวอยู่ปริ่มๆ และต้องไม่ยาวจนเกินไปด้วยนะคะ

7. ต้องมีคีย์เวิร์ดในย่อหน้าแรกของบทความ

เราก็ต้องมีคีย์เวิร์ดอยู่ในนั้นด้วย ทำตัวหนาและเว้นวรรคหน้าหลังไว้ ก็จะช่วยให้กูเกิลตรวจเจอคำได้ค่ะ

8. เอาคีย์เวิร์ดมาตั้งเป็นหัวข้อ Subheading เช่น H1, H2, H3

ขั้นตอนนี้เหมือนเป็นการเน้นคำคีย์เวิร์ดให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เค้าจะได้จับคำได้ง่ายขึ้น ว่าเราอยากให้คำนี้ติดอันดับ

9.ในบทความต้องมีการทำ บูลเล็ท หรือ การทำคอนเท้นท์ให้เป็นข้อๆ

เพื่อความสะดวกในการอ่านและทำให้คนอ่านเข้าใจเนื้อหาของบทความได้ง่ายขึ้นค่ะ

10. ต้องมีรูปภาพที่มี alt text เดียวกันกับคีย์เวิร์ด อย่างน้อยหนึ่งรูป

การมีภาพประกอบจะช่วยให้บทความของเราน่าอ่านมากขึ้น และจะดีขึ้นไปอีกถ้าเราใส่คีย์เวิร์ดที่เรากำหนด ลงไปที่ alt ของภาพด้วย เพราะกูเกิลเค้าจะมองไม่เห็นภาพของเรา เค้าอ่านโค้ดได้อย่างเดียว หน้าที่ของเราคือทำในสิ่งที่กูเกิลอ่านออก

11. คีย์เวิร์ดต้องไม่ซ้ำกับที่เคยมีในเว็บไซต์

เข้าใจว่าบางทีเราก็อยากจะให้มีคำคีย์เวิร์ดที่เป็นประเด็นหลักของเว็บไซต์เราอยู่ในหลายๆบทความ เมื่อเราไม่สามารถใช้คำซ้ำได้ เราก็สามารถเลี่ยงคำได้ค่ะ เช่น มีคำคีย์เวิร์ด บวกกับ คำขยาย เช่น อาชีพออนไลน์ ทำเงิน เท่านี้ก็ไม่ซ้ำแล้วค่ะ

12. คีย์เวิร์ดต้องมีจำนวนกำลังดี

ไม่มากเกินไป จนกลายเป็นบทความ Spam ซึ่งเค้าจะเหมาว่าบทความของเรานั้นไม่ได้คุณภาพ

13. เขียนสรุปคอนเท้นท์

ตอนท้ายต้องเขียนสรุปคอนเท้นท์ด้วยว่า ทั้งหมดที่เล่ามานั้น สรุปแล้วมันคืออะไร เพื่อให้คนเข้าใจประเด็นที่เราต้องการสื่อได้ง่ายขึ้น และไม่สับสน

14. ต้องมี internal link

คือการทำลิ้งจากคอนเท้นอื่นที่เกี่ยวข้องจากบทความ หรือจากหน้าเพจก็ได้ ซึ่งเราควรทำเป็นประโยคแล้วใส่ลิ้งค์เข้าไปในประโยคเหล่านั้น ตัวอย่าง internal link

15. ต้องมี Outbound Link

วิธีเดียวกับ internal link แต่คราวนี้เป็นการทำลิ้งค์ที่เกี่ยวข้องกับบทความนี้จากภายนอก เช่น การอ้างอิงข้อมูล ตัวอย่างผลงาน ที่จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้บทความของเรามากขึ้น

คำแนะนำเพิ่มเติม

1. หาทราฟฟิคด้วยตัวเองก่อน

เมื่อทำบทความ SEO ที่ฟูลออปชั่น พร้อมสู้ศึกบนสนามแข่งแล้ว ที่จะขาดไม่ได้เลยคือการเพิ่มความสตรองให้กับบทความนั้นด้วยการแชร์มันออกไปให้มากที่สุด แชร์ไปตามกรุ๊ปเฟซบุ๊คที่เกี่ยวข้อง กลุ่มเพื่อนๆที่มีความสนใจในเรื่องที่เราทำ เพื่อหาทราฟฟิคกลับมาที่เว็บไซต์ ซึ่งมันช่วยให้บทความนั้นเสิร์ชเจอบนกูเกิลได้มากขึ้น แล้วก็เพิ่มยอดวิวได้มากขึ้น อันจะนำไปสู่ยอดขายที่เพิ่มขึ้นด้วยนะ

2. จำนวนของคอนเท้นท์ก็สำคัญนะคะ

ต้องมีอย่างน้อยๆก็ 30 อัพ ยิ่งมีจำนวนบทความเยอะ เปอร์เซ็นต์ที่บทความเหล่านั้นจะติดเสิร์ช Google ก็มีมากขึ้นด้วย ซึ่งเจ้าบทความเหล่านี้ที่ทำถูกหลัก SEO มันก็จะค่อยๆทำงานของมันดึงคนเข้าเว็บไปเรื่อยๆ ที่สำคัญคือเมื่อคนเข้ามาที่เว็บแล้ว และเห็นว่าในเว็บของเรานั้น มีบทความแน่นๆให้อ่านก็จะเกิดความเชื่อใจมากกว่าเว็บที่มีแค่ 5 บทความนะคะ

3. ความต่อเนื่อง

ถ้าอัพทุกวันได้ก็เก๋เลย เว็บโตเร็วแน่นอน แต่ถ้าไม่ไหว อาทิตย์ละบทความก็ยังดีค่ะ ต่อเนื่องกันอย่างน้อย 6 เดือน ให้เว็บไซต์มีความเคลื่อนไหวและมีการอัพเดทด้วย ซึ่งก็จะช่วยให้อันดับเว็บเราดีขึ้นด้วยนะ

4. ทำลิสต์หัวข้อคอนเท้นท์ ซึ่งตรงนี้แนะนำว่าให้คิดหมวดหมู่หลักไว้ แล้วก็ลิสต์เป็นหัวข้อที่เราอยากจะแชร์ความรู้และประสบการณ์ให้คนอ่านออกมาเยอะๆ เพียงเท่านี้ก็ทำให้ไอเดียเราไม่ตัน และสามารถมีทิศทางที่ชัดเจนได้ค่ะ ทำให้มีอารมณ์เขียนออกมาได้เรื่อยๆเลย

5. ทำ Backlink

เราต้องหาเพื่อนหรือคนรู้จักที่เค้ามีเว็บไซต์ที่ใช้งานเองมาทำ Backlink ให้เรา ทำได้โดยการเขียนบทความที่เกี่ยวข้องแล้วใส่ลิ้งค์กลับมาที่เว็บไซต์ของเรา หรือทำภาพแบนเนอร์ต่างๆแล้วใส่ลิ้งค์ก็ได้เช่นกัน เมื่อเค้าช่วยเรา เราก็ตอบแทนด้วยการทำวิธีเดียวกัน เชื่อมโยงไปที่เว็บของเค้าด้วยก็ได้นะคะ เป็นวิธีหาพันธมิตรช่วยกันทำมาหากินอีกทางที่ดีมากเลย เติบโตไปด้วยกัน

6. นำบทความเดิมที่เคยทำ มาปรับแต่ง SEO

วิธีนี้ก็ช่วยประหยัดเวลาได้เยอะค่ะ ถ้าเราเป็นสายเขียนบทความอยู่แล้ว มีสต๊อคงานอยู่เพียบเลย สิ่งที่ต้องทำก็คือการเลือกบทความเหล่านั้นที่เกี่ยวข้องกับจุดประสงค์ในเว็บของเรา เอามาทำตามขั้นตอนทั้งหมดเหล่านี้ที่บอก เพิ่มนั่นนิด นี่หน่อย กำหนดคีย์เวิร์ด ใส่ลิ้งค์ ใส่ภาพ รับรองว่าช่วยเรื่องการทำอันดับบนเสิร์ชกูเกิลได้เยอะเลยค่ะ

7. ไม่ยุ่งกับ Url ที่ทำไปแล้ว

ที่อยู่ลิ้งค์เป็นอะไรที่ Sensitive มาก สำหรับมือใหม่แล้วจะค่อนข้างวุ่นวายถ้าเราไปแก้ไข แล้วกูเกิลเค้าดันมาเก็บ index ไปแล้วมันจะทำให้การส่งต่อข้อมูลมีปัญหา ถ้าเราอยากเปลี่ยนชื่อลิงค์จริงๆ เราก็ต้องทำการ Redirect ด้วย เพื่อให้เค้าหาที่อยู่เดิมเจอ ซึ่งมันก็จะยาวอีก เพราะงั้นถ้าเรามีลิ้งค์เดิมอยู่แล้วก็ไม่ต้องไปปรับมัน แต่เราสามารถแก้ไขเนื้อความด้านในได้

8. ใส่ Call to action

คือการขอร้องให้ท่านผู้ชมทั้งหลายทำอะไรสักอย่างกับบทความนี้ เช่น แชร์ด้วยนะคะถ้าชอบ กดไลค์เฟซบุ๊คด้วยนะคะ สั่งซื้อของได้ที่นี่ เป็นต้น ใส่เอาไว้ที่ท้ายบทความเพื่อเป็นการย้ำเตือนกันอีกที และช่วยเรียกยอดขายได้

9. ใส่คลิปวิดีโอ

อาจจะเป็นการทำคลิปวิดีโอบน Youtube สอนวิธีใช้งาน หรือจะเป็นคลิปวิดีโอสรุปงานทั้งหมดแบบกระชับได้ใจความก็ได้ เอาคลิปมาใส่ในเว็บบล็อกเลยค่ะ จากนั้นก็เพิ่มเติมคำอธิบายของคลิปลงไป การมีคลิปวิดีโอก็จะช่วยให้บทความนั้นๆของเราเด่นขึ้นได้ และช่วยดันอันดับให้มันอยู่ตำแหน่งแรกๆได้อีก เพราะ Youtube ก็เป็นส่วนหนึ่งของ Google มันก็จะช่วยกันทำงานได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ

สรุป

จริงๆแล้วปัจจัยในการทำ SEO ยังมีอยู่อีกเยอะมากๆ แต่เราคัดมาให้เฉพาะข้อควรรู้สำหรับมือใหม่ จะได้ไม่ตกใจไปก่อน คงจะเห็นแล้วว่าการเริ่มต้นทำคอนเท้น SEO ค่อนข้างยุ่งยากและมีหลายขั้นตอนที่ต้องดูแล แต่เราใช้เวลากับมันเพียงแค่ครั้งเดียว เมื่อเวลาผ่านไป บทความที่ถูกหลักก็จะทำหน้าที่ของมันคือการดึงทราฟฟิคเข้ามาในเว็บไซต์ เพราะฉะนั้น ขยันและอดทนหน่อยนะคะ เดี๋ยวมันจะดีเองค่ะ อ่านข้อมูลเทคนิคสอนทำ SEO แบบละเอียด Step by Step เพิ่มเติมได้ที่นี่เลยค่ะ

สนใจสร้างแบรนด์และเว็บไซต์ของตัวเอง คลิกที่นี่เลยค่ะ

วิธีย่อรูป

ขนาดภาพ

  • สำหรับบทความ กว้าง x สูง : 1000X700 px **ขนาดพื้นที่ภาพ ไม่ควรเกิน 100-150 kb**
  • ภาพแบนเนอร์ กว้าง x สูง : 1920×800 **ขนาดพื้นที่ภาพ ไม่ควรเกิน 150 kb**
  • ภาพสินค้า กว้าง x สูง : 600×600 px **ขนาดพื้นที่ภาพ ไม่ควรเกิน 100kb**

เหตุผลที่ควรย่อรูปให้เล็กก่อนอัพโหลดขึ้นเว็บไซต์ทุกครั้ง

  1. เพื่อตัดปัญหาเว็บโหลดช้าในระยะยาว อันเนื่องมาจากการที่มีไฟล์ภาพขนาดใหญ่เกินไป (เคยเจอลูกค้าใส่ภาพขนาด 2 mb มาหลายสิบรูปในหนึ่งหน้า และเกิดปัญหาเว็บประมวลผลช้า)
  2. ช่วยประหยัดพื้นที่บนเว็บ
  3. PageSpeed เร็วขึ้น
  4. Google จะให้คะแนนเว็บเราดีขึ้น และสามารถติดอันดับหน้าแรกได้มากขึ้น

หมายเหตุ ถึงจะใช้ Imagify ก็ควรย่อรูปมาก่อนดีที่สุดค่ะ

เว็บใช้สำหรับย่อรูป

1. https://squoosh.app/editor

  1. เลือก Resize
  2. ตั้งค่าขนาดความกว้างและความสูง
  3. ปรับ Quality พยายามให้ขนาดพื้นที่ภาพไม่เกิน 100 kb

2. https://tinypng.com/

เว็บนี้ก็ใช้ได้ดีเหมือนกันค่ะ ข้อดีคือสามารถโยนไฟล์ไปย่อได้ทีละหลายไฟล์ ย่อได้จิ๋วมากโดยเฉพาะกับไฟล์ PNG แต่ข้อเสียคือ เราจะปรับขนาดและคุณภาพของภาพไม่ได้

สะดวกแบบไหนเลือกใช้อันนั้นเลยค่ะ

เว็บหาภาพประกอบฟรี

1. http://unsplash.com

เว็บนี้เราใช้บริการบ่อยมาก เพราะรูปสวย มีสไตล์ โทนสีภาพและองค์ประกอบก็เก๋สุดๆไปเลย unsplash 2. http://pixabay.com

เว็บนี้ก็มีภาพสวยๆให้ดาวน์โหลดเช่นกัน ถ้าเราหารูปที่ตรงกับสิ่งที่เราอยากได้ไม่เจอก็ลองมาหาจากเว็บนี้ดูค่ะ

Nomad4 3. http://picjumbo.com ว้าวๆ ตัวอย่างภาพในเว็บนี้ก็ดูดีทีเดียวค่ะ

เว็บไซท์แจกรูปฟรี 4. http://freeimages.com

เว็บนี้ภาพแนวทำงานอาจจะหายากหน่อย แต่ภาพวิว ภาพธรรมชาติสวยๆก็มีให้เลือกเยอะพอสมควร Free-Image1

5. http://imcreator.com/free

สำหรับเว็บนี้ภาพแนวธรรมชาติโทนขาวดำ แนวครอบครัว ภาพถ่ายหน้าคนก็มีให้เลือกเยอะนะคะ สวยๆ ทั้งนั้นเลย

Imcreator11 6. http://gratisography.com

ภาพสวยๆ แนวๆก็ต้องยกให้เว็บนี้เลยค่ะ

Gratistography-Fashion 7. allfreedownload.com/photo

เว็บนี้มีทุกอย่างเลยตั้งแต่ ไฟล์ Vector ไฟล์ภาพ ไฟล์วิดีโอ วอลเปเปอร์ ลองไปดูกันค่ะ

allfreedownload 8. http://picography.co/

ภาพจากเว็บนี้จะเป็นแนวที่ผ่านฟิลเตอร์นวลๆมา ถ้าชอบแนวนี้ก็ไปดาวน์โหลดกันเลยค่ะ

Picography 9. http://getrefe.tumblr.com/

เว็บนี้ก็ให้ฟีลลิ่งรูปที่ดูฮิปไม่เบา มีสไตล์และเก๋กู้ดมาก มีข้อเสียนิดนึงตรงที่มันเสิร์ชไม่ได้ ต้องลองเลื่อนหารูปที่ถูกใจเอาเอง

getrefe

10. http://publicdomainarchive.com/

เว็บนี้ก็มีรูปสวยใช้ได้เลย

public-domain11

วิธีเพิ่มสินค้า

1. ใส่สินค้าใหม่

เลือก Product => Add New จากนั้นก็ใส่ชื่อสินค้า ตั้งชื่อ URL เป็นภาษาอังกฤษ ใส่เนื้อหาสินค้า วิธีการเหมือนทำตัวบทความเลยค่ะ ช่องนี้จะเป็นการใส่เนื้อหาสินค้าแบบยาว แสดงผลที่ด้านล่างของหน้าสินค้าค่ะ

สามารถกดปุ่ม Copy to a new draft เพื่อใส่สินค้าตัวใหม่ โดยเปลี่ยนแค่รูป ชื่อ และเนื้อหาบางส่วนได้โดยที่ยังคงโครงสร้างแบบเดิมไว้ได้ค่ะ

2. ใส่รูปหน้าปกสินค้า ที่แถบเมนูด้านขวา

เลือกที่ Product Image คลิกที่คำว่า Set Product Image แล้วเลือกรูปมาใส่ (รูปหน้าปกเป็นขนาดสี่เหลี่ยมนะคะ)

3. รูปสินค้าเพิ่มเติม

เลือกหัวข้อ Product Gallery คลิกที่ Add product gallery images หากอยากเลือกหลายรูป ให้กด Shift ค้างไว้แล้วเลือกรูปเพิ่มค่ะ

4. ส่วนของข้อมูลชนิดสินค้า

ให้เลือก Product Data แล้วเลือกเป็น Simple Product => ใส่ราคา (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)

5. ส่วนของข้อมูลสินค้าโดยย่อ (Product Short Description)

ใส่เนื้อหาสินค้าเหมือนด้านบน แต่สั้นกว่า ส่วนนี้จะแสดงผลในหน้าของตัวสินค้าส่วนบน ส่วนนี้เราจะใส่เป็นตารางการผ่อนชำระ ข้อมูลนี้จะอยู่ก่อนถึงปุ่ม คลิกสั่งซื้อ

6. เลือกหมวดหมู่ให้สินค้า หมวดหมู่นี้จะอยู่ทางแถบด้านขวา เราต้องติ๊กเลือกว่าจะให้สินค้าชิ้นนั้น อยู่ที่หมวดไหนบ้าง

7. กด Publish เมื่อใส่ข้อมูลสินค้าครบแล้ว ให้กด Publish ที่แถบขวามือ ด้านบน

ดูการใส่ข้อมูลสินค้าแบบละเอียด

วิธีเพิ่มหมวดหมู่สินค้า

Product=> Categories=> ตั้งชื่อหมวดหมู่สินค้าตรง Name , ตั้งชื่อ Slug เป็นภาษาอังกฤษ สามารถเลือกให้เป็นหมวดหมู่ย่อยได้โดยการเลือก Parent Category

วิธีใช้งาน UX Builder

อยากปรับเปลี่ยนแบนเนอร์ หรือแก้ไขส่วนต่างๆ บนหน้าเว็บไซต์ สามารถทำได้ตามคลิปวิดีโอนี้เลยค่ะ

วิธี BackUp เว็บไซต์

1. Backup ข้อมูล

เลือก All in one WP => Export => File รอสักครู่ จากนั้นจะขึ้นปุ่มให้ดาวน์โหลด ก็ดาวน์โหลดไฟล์เก็บไว้บนเครื่องเลยค่ะ

ควรมีการแบ็คอัพข้อมูลอยู่เป็นประจำ เช่น ทุกครั้งหลังอัพบล็อกโพส ในกรณีที่เราไม่ได้อัพเดทบ่อยๆ ก็ต้องแบ็คอัพข้อมูลอย่างน้อยเดือนละครั้ง

2. ลบข้อมูล Backup

เลือก All in one WP เลือก Backups จะเจอไฟล์ที่ค้างอยู่ ลบทิ้งได้เลยค่ะ