5 ไอเดีย Online Office จาก Ted Talk

Ted-Talk

การที่คนๆหนึ่งจะลุกขึ้นมาสร้างเว็บบล็อกนั้น มันเกิดจากการปิ๊งไอเดียที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์กับคนจำนวนมากได้ ที่เค้าเรียกกันว่า Value หรือคุณค่านั่นเอง เรื่องราวจาก Ted Talk ที่เราจะนำมาแบ่งปันนั้น ก็เกิดขึ้นมาจากแนวคิดจากคนธรรมดาๆที่มองเห็นว่าตัวเองมีความสามารถ มีความรู้ในด้านใดด้านหนึ่ง และอยากจะเผยแพร่มันออกไปให้ได้มากที่สุด มันเลยเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างบล็อก สร้างเว็บไซท์ และเมื่อเราเริ่มเข้าสู่วงการเทคโนโลยีอย่างเต็มตัว เริ่มมีฐานแฟนคลับมากขึ้น เมื่อนั้นเราก็สามารถต่อยอดไอเดียของเราต่อไปอีกได้ว่าจะให้มันสร้างเป็นรายได้อย่างไรได้บ้าง

เรื่องราวจาก Ted Talk

เราได้คัดเลือกไอเดียของคนมีฝันที่อยากจะทำให้โลกน่าอยู่มากขึ้น โดยใช้พื้นที่เว็บบล็อกเป็นสื่อกลางมาให้เพื่อนๆได้ติดตามกัน รับรองว่ามีประโยชน์กับชีวิต และจุดประกายไอเดียและทำให้รู้สึกได้ว่าโลกนี้ยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะ ซึ่งนอกจากจะทำเรื่องของตัวเองแล้วก็ยังสามารถทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ให้กับโลกได้อีก

How to be happy everyday, It will Change the world

ทำอย่างไรให้ชีวิตมีความสุขในทุกๆวัน จนสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้

Jacqueline มีอาชีพเป็นคุณแม่ที่ต้องคอยดูแลเด็กผู้ชาย 3 คน และเป็นทุกอย่างให้กับลูกๆของเธอ เธออยากให้ลูกๆเป็นเด็กที่มีความสุข ได้มีอิสระที่จะเล่น มีเพื่อนๆ และโตขึ้นเป็นคนที่มีจิตใจดีมีความสุข นี่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องท้าทายที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร แต่จากรายงานเรื่องความสุขแสดงเป็นตัวเลขออกมาว่า เด็กๆ 220 ล้านคน และผู้ใหญ่กว่า 1,000 ล้านคนเจ็บปวดกับความเศร้า และไม่สามารถคุมพฤติกรรมของตัวเองได้ สืบเนื่องมาจากว่าเด็กๆได้ซึมซับความเครียดและความเศร้ามาจากพ่อแม่ จากงานวิจัยก็ยังบอกอีกว่าคนที่โตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีนั้น เค้าจะมีอารมณ์ดีเริ่มมาจากวัยเด็ก เด็กที่มีความสุขโตขึ้นผู้ใหญ่ที่มีความสุข แล้วโลกก็มีความสุข ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่ายแต่ความจริงมันไม่ใช่

และนี่คือสิ่งที่พ่อของเธอสอน ทุกปีในวันคริสมาสต์พ่อจะพาเธอและพี่สาวไปที่โรงพยาบาล เพราะพ่อของเธอนั้นมีอาชีพเป็นคุณหมอ แล้วงานของเธอก็คือการร้องเพลง Merry Christmas ให้กับผู้ป่วยฟัง เมื่อผู้ป่วยร่วมร้องเพลงด้วยกันและมีรอยยิ้มตอบกลับมา นั่นทำให้ทั้งโรงพยาบาลดูสดใสขึ้นมาทันที นี่คือสิ่งที่เธอได้เรียนรู้ การให้สิ่งเหล่านั้นกลับไปที่ผู้ป่วยทำให้ทั้งผู้ป่วยและเธอต่างมีความสุข

เราต่างรู้ว่า “การให้” โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนทำให้เกิดความสุขมากกว่า “การให้และได้รับ” จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เรื่องของ “การให้” พบว่า “การให้” ทำให้เราหลั่งสารแห่งความสุขออกมา ทำให้เรารู้สึกดีไปทั่วทั้งร่างกาย เธอเลยคิดว่ามันคงเป็นเรื่องดีที่เราจะมีความสุขในทุกๆวันจาก “การให้” นี้เอง

เธออยากนำแนวคิดที่ว่านี้มาสอนลูกของเธอ เธอชวนลูกทำโปรเจ็กต์สนุกๆร่วมกัน ด้วยการส่งมอบความสุขกลับคืนไปให้โลกทุกๆวันเป็นเวลา 1 ปี ทำสิ่งที่เป็นเรื่องดีให้กับคน สัตว์และโลกใบนี้ทุกๆวันเป็นเวลา 365 วัน เริ่มง่ายๆด้วยการให้ 1 อย่าง 1 ครั้งต่อวัน จากนั้นเธอกับลูกก็เริ่มเขียนเป็นข้อๆลงไปว่าสามารถทำอะไรกันได้บ้างแบบง่ายๆ อย่างเช่น การหาบ้านให้หมาแมว เก็บขยะ รีไซเคิล บริจาคเสื้อผ้าที่ไม่ใช้แล้ว เมื่อลูกของเธอได้ทำโปรเจคนี้ไปเรื่อยๆ เธอก็พบว่าลูกของเธอนั้นเริ่มเชื่อมต่อเรื่องราวต่างๆเข้าด้วยกันได้เอง

เมื่อลูกชายถามว่าเค้าสามารถเอาโปรเจคนี้ไปเล่าให้เพื่อนๆฟังได้มั้ย เธอจึงสร้างบล็อคอธิบายเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นมา แล้วก็ได้รับการตอบรับจากผู้คนหลากหลายที่ลองทำตามเพราะมีลูกชายของเธอเป็นแรงบันดาลใจ ตัวอย่างเช่น เฮนรี่จากลอนดอนบอกว่าเค้าซื้ออาหารให้กับคนไร้บ้าน เอมี่จากออสเตรเลียบอกว่าชั้นชอบโปรเจกต์ 365 Give เค้าเลยเอาไปสอนเด็กๆในห้องเรียน เธอคิดว่าแนวคิดการเอาเรื่องนี้ไปสอนเด็กๆในโรงเรียนเป็นเรื่องที่ดีมาก เธอจึงได้ร่วมทำสื่อการสอนและวางแผนโปรเจคเพื่อจะเอาโปรเจคนี้ไปสอนในโรงเรียนอย่างจริงจัง เรื่องนี้มันเจ๋งตรงที่คนที่คิดหัวข้อ “การให้” ต่างๆนั้นเป็นไอเดียมาจากเด็กๆ ผลตอบรับที่ได้คือเด็กๆมีความสุขกันมาก

โปรเจคนี้ได้เข้าถึงเด็กๆกว่า 5,000 คน จาก 25 โรงเรียน เกมส์การแข่งขันนี้ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อเด็กๆอย่างเดียว แต่เพื่อพวกคุณทุกๆคนด้วย ลองคิดดูว่าโลกจะน่าอยู่ขนาดไหนถ้าทุกคนในที่นี้และจากทั่วโลกได้ “ให้”ทุกๆวัน เพื่อให้ตัวเองและโลกมีความสุขด้วยหลักการง่ายๆว่า ให้ 1 อย่างเพียง 1 ครั้งต่อวัน เท่านั้น

ตามมาที่ลิ้งค์นี้กันเลย >>> http://blog.365give.ca/

Why I live a zero waste life

ทำไมฉันจึงใช้ชีวิตแบบที่ไม่ผลิตขยะเหลือทิ้งเลย

เรื่องมันเริ่มต้นในสมัยที่ซูซานยังเป็นนักศึกษาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่มหาวิทยาลัย NYU ช่วงที่เรียนเธอต้องทำโปรเจคเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ทำให้โลกน่าอยู่ขึ้น แต่เธอกลับเป็นคนที่สร้างขยะทุกวันโดยเฉพาะพลาสติก วันหนึ่งเธอก็ตั้งปณิทานกับตัวเองว่า ชั้นจะงดการใช้พลาสติก มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเพราะทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวล้วนมีพลาสติกเป็นส่วนประกอบทั้งนั้น เธอเลยเลือกที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ใช้ในชีวิตประจำวันขึ้นมาเอง เริ่มจากเรื่องง่ายคือ อาหาร เธอจะไปซื้อของที่ Farmer Market เป็นประจำและนำภาชนะต่างๆไปใส่เอง ผลิตยาสีฟันใช้เองจากเบคกิ้งโซดา ซื้อเสื้อผ้ามือสอง โละของที่ไม่ใช้แล้วออกไปแล้วก็ดูแลของที่มีอยู่ให้ดี

ข้อดีของเรื่องนี้คือ 1.ประหยัดเงิน 2.ได้กินอาหารดีๆอย่างเช่น ผัก ผลไม้สด ที่ช่วยให้มีสุขภาพที่ดี พอมีสุขภาพดีชีวิตก็มีความสุขมากขึ้น และทำให้รู้สึกว่าชีวิตของเธอมีคุณค่ากับสังคม จากไอเดียการใช้ชีวิตเหล่านี้เอง เธอจึงสร้างบริษัทของตัวเอง สร้างเว็บไซท์แล้วก็ให้ทั้งความรู้และขายสินค้าที่ไม่ทำร้ายโลก และไม่สร้างขยะ เพื่อเพิ่มจำนวนคนที่สนใจแนวคิดนี้และตอบสนองกับความต้องการที่มีได้ด้วย

ในปัจจุบันคนหนึ่งคนสามารถผลิตขยะได้ในจำนวนที่มากมายในแต่ละวัน พอเอามารวมกันก็เป็นจำนวนที่ไม่อยากจะคิดเลย เปรียบได้กับว่าคุณทิ้งเพื่อนดีๆไปปีละ 8 คนเลยทีเดียว วิธีที่เธอแนะนำให้จัดการกับพลาสติกได้ก็มี 3 วิธี

1.พลาสติกจากหีบห่ออาหาร ก็แนะนำให้พกถุงช็อปปิ้งไปด้วย

2.พลาสติกจากสินค้าอุปโภคบริโภคแพ็กเกจจิ้ง ก็เปลี่ยนมาเป็นผลิตของ DIY ขึ้นมาใช้เอง

3.ขยะเหลือทิ้งจาก Organic Food เธอเลยเลือกที่จะเอาไปทำเป็นปุ๋ยหมัก

เธอไม่ได้สร้างบล็อคขึ้นมาเพื่อต้องการขายของหรือเพื่อธุรกิจ แต่เธอใช้ชีวิตแบบนี้จริงๆและอยากจะแบ่งปันเครื่องมือในการใช้ชีวิตแบบไม่ผลิตขยะให้กับคนที่สนใจอยากจะลดปริมาณขยะลง เธอแค่ทำในสิ่งที่เธอเชื่อ เธออยากจะเป็นที่จดจำกับสิ่งที่เธอทำทั้งหมดในขณะที่เธอยังมีชีวิตอยู่บนโลกไม่ใช่บนกองขยะที่เหลือทิ้งไว้ยันลูกหลาน

อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากเธอก็ตามมาที่ลิงค์นี้เลย >>> http://trashisfortossers.com/

 

A rich life with less stuff | The Minimalists

ชีวิตรวยๆด้วยของน้อยสิ่ง

Ryan และ Joshua ทั้งสองคนนี้คือผู้ก่อตั้งเว็บไซท์ Theminimalists.com เค้าให้ทุกคนคิดคำจำกัดความของคำเหล่านี้ว่าเรามีความเข้าใจอย่างไร อย่างเช่น คำว่า “รวย” ลองคิดดูว่าอีกปี 2 ปีต่อจากนี้ ชีวิตจะเป็นอย่างไรบ้าง และคำว่า “น้อยลง” มีของน้อยลง เครียดน้อยลง ชีวิตที่มีสิ่งล่อหลอกที่น้อยลง ลองคิดถึงชีวิตที่มีคำว่า “มากขึ้น” มีเวลามากขึ้น ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น มีความหมายมากขึ้น ชีวิตที่รวยในที่นี้หมายถึง ชีวิตที่มีความหมาย ไม่ได้วัดความรวยจากจำนวนเงินเพียงอย่างเดียว

ชีวิตของ Ryan เมื่อ 5 ปีก่อนแตกต่างจากตอนนี้มาก เค้ามีรถสวยๆขับ มีหน้าที่การงานที่ดี มีอพาร์ทเม้น 3 ห้องนอน มีทุกอย่างจนเพื่อนเค้าบอกว่า ตัวเค้าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ แต่เค้ากลับไม่รู้สึกเช่นนั้น เค้าทั้งเครียด ทั้งรู้สึกงงไม่รู้จะไปทางไหน แล้วเค้าก็ใช้เงินซื้อทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ชีวิตดูดี ทานอาหารมื้อแพงๆ พอเงินไม่พอก็ใช้บัตรเครดิตรูดไปก่อน เพื่อบำบัดอาการเครียดเพราะเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เค้ามีความสุข เค้าใช้ชีวิตอย่างนี้อยู่เป็นปี ภายนอกดูดีมาก แต่ภายในเรียกว่าแย่สุดๆ เค้าหย่ากับภรรยา ติดเหล้า เล่นยา สุขภาพไม่ดี แล้วก็ทำงานหนักมาก ถ้ามีคนถามว่าคุณมีความหลงใหลกับเรื่องไหน เค้าตอบไม่ได้ สิ่งที่เค้าทำคือใช้ชีวิตหมดไปกับการหาเงินมาจ่ายบิลไปวันๆ ทำงานที่ไม่ได้รัก เค้ารู้สึกเศร้ามาก

แล้วเค้าก็เห็น Josh  เพื่อนร่วมงานก็ไม่เห็นเป็นเหมือนเค้าเลย เค้าดูมีความสุขกับชีวิตแบบที่สุขจริงๆ ตัวเค้าไม่เข้าใจว่าทำไม เราทำงานด้วยกันตลอดเวลาในองค์กรเดียวกัน แต่ Josh ไม่เป็นเหมือนเค้า เค้าเลยชวน Josh ไปทานข้าวกลางวันกัน แล้วถามว่า ทำไมแกมีความสุขจังวะ Josh ตอบกลับมาว่าเพราะเค้าใช้ชีวิตแบบ minimalism งัย minimalism คือการใช้ชีวิตโดยมีสิ่งของให้น้อยที่สุด มีเฉพาะที่จำเป็น Josh ได้แนะนำคนที่ใช้ชีวิตแบบนี้ให้เค้ารู้จักหลายคน ซึ่งทั้งหมดนี้มีหลักการคล้ายกันคือ พวกเค้าเหล่านั้นใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย และใช้ชีวิตแบบที่จำเป็นเพียงเท่านั้น

Ryan ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตแบบน้อยนิดบ้าง โดยเริ่มจากการจัดงาน Packing Party ขึ้นมา เค้าแพ็คทุกอย่างลงกล่อง ถ้าในอีก 4 อาทิตย์เค้ายังไม่ได้แกะอะไรออกมาใช้ เค้าจะทำการขายและบริจาคมันออกไป ในนั้นมีทุกอย่างตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องครัว เฟอร์นิเจอร์ แล้วเค้าก็แกะใช้แค่ของที่จำเป็นจริงๆ อพาร์ทเม้นของเค้าโล่งมาก เป็นครั้งแรกที่เค้ารู้สึกรวยจริงๆ ทิ้งไว้เพียงแค่สิ่งที่ยังคงมีอยู่ จากนั้นไม่นานมุมมองของเค้าก็เริ่มเปลี่ยน เค้าเลยคิดว่าคงจะมีคนที่สนใจแนวคิดนี้เหมือนกันกับเค้า

เค้าเลยสร้างบล็อคขึ้นมาเมื่อ 3 ปีที่แล้วเพื่อบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ ในเดือนแรกมีคนเข้ามาอ่าน 52 คน และแล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นมีผู้อ่านมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันมีคนเข้ามาที่เว็บของเค้าปีละกว่า 2 ล้านคน เมื่อเราเพิ่มคุณค่าให้ชีวิตของผู้อื่น เแล้วพวกเค้าเหล่านั้นก็อยากจะแบ่งปันเรื่องดีๆนี้ให้กับผู้คนรอบตัวมันจึงกลายเป็นชุมชนขึ้นมา การเพิ่มคุณค่าคือสัญชาตญาณของมนุษย์อยู่แล้ว นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกเค้าถึงมาที่นี่ ย้ายจากโอไฮโอมาที่มอนทาน่าเมื่อ 2 ปีก่อน แล้วก็ได้แวดล้อมไปด้วยชุมชนที่รวยในแบบฉบับของตัวเอง

พวกเค้าอยากจะให้ทุกคนหันมาสนใจชีวิตของตัวเองมากขึ้น ลองมองดูว่าเรื่องเหล่านั้นที่ทำอยู่มันทำให้เรามีความสุขจริงมั้ย เช็คอีเมลล์ เล่นเฟซบุ๊ค ช็อปปิ้งออนไลน์ตลอดเวลา โหมงานอย่างหนักเพื่อเอาเงินไปจ่ายค่าสิ่งของที่ไม่ได้จำเป็นกับชีวิต เมื่อวัตถุมันบังตาก็ทำให้เราหลงลืมสิ่งสำคัญไป อย่างเช่น เป้าหมายชีวิต หากลองเปลี่ยนเป็นว่าลดความฟุ่มเฟือยของใช้ที่ไม่จำเป็นออกไป แล้วหันมาสนใจกับสิ่งที่คงอยู่จริงๆเช่น สุขภาพ การเจริญเติบโต ความสัมพันธ์ การให้การส่งเสริม สนับสนุน สร้างชุมชนที่มีคุณค่าขึ้นมาแทนน่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่ามาก

อยากอ่านเรื่องราวของ Minimalist เพิ่มเติมตามมาที่ลิงค์นี้เลยค่า >>> https://www.theminimalists.com/minimalism/

 

Building a Personal Brand

สร้างแบรนด์ให้ตัวเอง

Jacob กราฟฟิกดีไซน์เนอร์จากออสเตรเลียแล้วก็ได้มาใช้ชีวิตที่อเมริกา เค้าเล่าถึงการสร้างตัวตนผ่านแบรนด์ดิ้ง บล็อค และโซเชี่ยลมีเดียว่ามันมีประโยชน์อย่างไร ย้อนกลับไปเมื่อปี 2007 ตอนที่เค้าเรียนใกล้จะจบเค้าได้รับโอกาสให้ไปทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่งในนิวยอร์คซิตี้ 6 เดือนหลังจากนั้นเค้าก็ได้ไปใช้ชีวิตในนิวยอร์ก ได้มีเพื่อนใหม่ ชีวิตกำลังไปได้สวย แล้วจู่ๆทางบริษัทก็บอกว่าเราไม่ต้องการคุณแล้ว ในฐานะที่เป็นผู้พักอาศัยชั่วคราว

ถ้าคุณไม่มีงานทำหมายความว่าคุณจะต้องออกจากประเทศสหรัฐอเมริกาภายใน 10 วัน เค้ากลับมาที่ช่องทางสื่อต่างๆของตัวเอง เค้าส่งข้อความไปตามบล็อค Twitter Facebook Linkin ของเค้าเอง แล้วเค้าก็ได้รับความช่วยเหลือจากคนทั่วโลก และเพื่อนในนิวยอร์กของเค้าบอกว่ามีบริษัทสนใจ แต่เค้าต้องมีหลักฐานการทำงานก่อน เค้ายื่นหลักฐานไป 2 ที่แต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมา เค้าพยายามทุกวิถีทางแต่ก็ไม่เป็นผลจนต้องแพ็คกระเป๋ากลับบ้านที่ออสเตรเลียไปก่อนแล้วตั้งใจว่าจะกลับมาอีกครั้ง

จากนั้นไม่นานเค้าก็ได้วีซ่ากลับมาที่นิวยอร์กอีกครั้ง และภายในวันแรกมีคนเจอผลงานของเค้าบนโซเชี่ยลสำหรับดีไซน์เนอร์ Dribbble.com แล้วบอกให้เค้าไปสัมภาษณ์งานที่บริษัท หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้นเค้าก็ได้งานทำ ภายในเวลา 2 เดือนเค้าสูญเสียงานไป 2 ครั้ง แล้วก็ได้งานใหม่อีก 2 ครั้ง แถมยังไปๆมาๆระหว่างนิวยอร์กและออสเตรเลียอีก อ้อแล้วคนที่มาเจอผลงานของเค้านั้นก็เป็นเพื่อนสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันเมื่อหลายปีก่อนนั่นเอง จุดประสงค์ที่อยากจะบอกคือเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะเค้ามีช่องทางการสื่อสารของตัวเอง

วิธีการสร้างตัวตนก็คือ สร้างแบรนด์ สร้างเว็บไซท์ แล้วก็ใช้ประโยชน์จากโซเชี่ยลมีเดีย

ขั้นตอนที่ 1 การสร้างแบรนด์ คือการตั้งนิยาม จุดประสงค์ให้ตัวเอง มีจุดขาย มีภาพลักษณ์ที่ชัดเจน

ขั้นตอนที่ 2 คือการสร้างเว็บไซท์ ซึ่งต้องประกอบไปด้วยหน้า Home Portfolio About Testimonial และ Blog

ขั้นตอนสุดท้าย คือการแชร์ข้อมูลจากบล็อคไปที่โซเชี่ยลต่างๆ เขียนบทความที่เป็นประโยชน์กับคนทั่วไป สร้างความน่าเชื่อถือ ให้เหล่าแฟนคลับของคุณรู้สึกดีที่มีคุณเป็นผู้นำ

สิ่งที่อยากฝากไว้คือคุณควรสร้างข้อมูลพื้นฐานของตัวเองเอาไว้เผื่อว่าวันใดวันหนึ่งที่คุณถูกไล่ออกจากประเทศจะได้เอาตัวรอดได้

อยากรู้จักว่า Personal Branding ของ Jacob เป็นอย่างไรตามมาที่ลิงค์นี้เลยค่า >>> http://justcreative.com/

Grit : the power of passion and perseverance

Grit : พลังของความหลงใหลและความขยันหมั่นเพียร

Angela ตอนที่เธออายุ 27 เธอลาออกจากอาชีพที่ปรึกษามาเป็นคุณครู เธอเป็นคุณครูสอนคณิตศาสตร์ให้กับเด็กเกรด 7 ที่โรงเรียนรัฐในนิวยอร์คซิตี้ เธอทำเหมือนคุณครูทุกคน ทำข้อสอบไว้ทดสอบเด็กๆ และให้การบ้าน จากนั้นก็นำผลสอบมาดูและคำนวณเกรด สิ่งที่น่าสนใจคือ ไอคิวไม่ใช่เรื่องเดียวที่สร้างตวามแตกต่างระหว่างนักเรียนที่เก่งที่สุดและนักเรียนที่เรียนแย่ที่สุดในชั้น เด็กที่ขยันและตั้งใจเรียนมากที่สุดไม่ได้มีไอคิวสูงอย่างที่คิด ส่วนเด็กที่ฉลาดที่สุดก็ทำคะแนนได้ดีพอๆกัน แน่นอนว่าคณิตศาสตร์ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่เด็กๆทุกคนสามารถทำได้ ถ้าเด็กคนนั้นอยู่กับโจทย์ได้ยาวนานและพยายามมากพอ

หลายปีที่อยู่กับการเรียนการสอนทำให้เธอสรุปได้ว่าสิ่งที่เราต้องการในการศึกษานั้น มีทั้งความเข้าใจในมุมมองทางด้านแรงจูงใจ และมุมมองทางด้านจิตวิทยา อย่างที่รู้กันว่าไอคิวคือตัววัดความสามารถอย่างหนึ่งในโรงเรียน แล้วถ้าการทำคะแนนได้ดีในโรงเรียนและในชีวิตขึ้นอยู่กับอย่างอื่นมากกว่าความสามารถในการเรียนรู้ที่เร็วและง่ายล่ะ เธอเลยเปลี่ยนอาชีพไปเป็นนักจิตวิทยาศึกษาเรื่องราวของทุกคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่เพื่อวิเคราะห์ว่าเพราะอะไรคนถึงประสบความสำเร็จ เธอได้ไปทำการศึกษาจากผู้คนในหลายอาชีพทั้งทางการทหาร เซลล์ คุณครู จนได้คำตอบว่าคนที่ประสบความสำเร็จในสายอาชีพของตัวเองคือ Grit หมายถึงความหลงใหลและความขยันหมั่นเพียรเพื่อเป้าหมายระยะยาว ไม่ใช่แค่สำหรับวันนี้ หรือเดือนนี้ แต่เป็นการทำงานอย่างหนักเพื่อทำให้อนาคตเป็นจริง Grit เหมือนการใช้ชีวิตแบบแข่งวิ่งมาราธอน ไม่ใช่การวิ่งระยะสั้น

ไม่กี่ปีก่อนเธอได้ลองเอา Grit Test ไปให้นักเรียนในโรงเรียนมัธยมที่เมืองชิคาโกทำแบบทดสอบนี้แล้วรอดูผลอยู่เป็นปีว่าจะมีเด็กคนไหนสามารถเรียนจนจบได้บ้าง จากนั้นเธอก็ได้เปรียบเทียบข้อมูลว่าอะไรทำให้เด็กเรียนจนจบ แล้วก็ได้พบว่าไม่ใช่ปัจจัยจากที่บ้านแต่เป็นโรงเรียนต่างหาก ข้อมูลที่เธอมีบ่งบอกว่าคนที่มีพรสวรรค์ก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ จากข้อมูลบอกว่า Grit นั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรสวรรค์เลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะช่วยสร้างให้เด็กมี Grit นั่นคือ Growth Mindset แนวคิดที่มีความเชื่อว่าความสามารถในการเรียนรู้นั้นมันไม่จำกัดและคุณสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อเด็กๆได้เรียนรู้ว่าสมองทำงานอย่างไร ได้เห็นว่าสมองสามารถเปลี่ยนแปลงและเติบโตขึ้นเมื่อได้ตอบสนองต่อความท้าทาย เด็กๆจะมีความขยันมากขึ้นเมื่อเค้าสอบตกเพราะเค้าเชื่อว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องชั่วคราวเท่านั้น

เพราะฉะนั้น Growth Mindset คือแนวคิดสำคัญที่สร้าง Grit เราต้องสร้างความคิดที่ดีที่สุด และสถานการณ์ที่แข็งแกร่งที่สุดจากนั้นก็เอาไปทดสอบพวกเค้า เอามาวัดความสำเร็จ พวกเค้าต้องเต็มใจที่จะพบกับความล้มเหลว ความผิดพลาดเพื่อที่จะได้รับบทเรียนและเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

อยากได้ความรู้เรื่อง Grit เพิ่มเติมตามมาที่ลิงค์นี้เลยค่า >>> http://angeladuckworth.com/grit-book/

จะเห็นได้ว่าเรื่องราวทั้งหมดจาก Ted Talk ล้วนเกิดจากแนวคิดสร้างสรรค์ของคนตัวเล็กๆที่อยากจะเปลี่ยนแปลงโลกไปในทางที่ดีขึ้น และหนทางที่จะเป็นไปได้นั้นก็คือการสร้างการรับรู้เรื่องราวดีๆเหล่านี้ ให้สามารถเข้าถึงทุกคนได้โดยเริ่มต้นจากการสร้างเว็บไซท์ สร้างแบรนด์ออนไลน์ของตัวเอง และอีกอย่างที่ฝากบอกคือ เมื่อเรามีปัญหาหรือมีคำถามใดๆเกิดขึ้น สิ่งแรกที่เราจะทำคือการเสิร์ชข้อมูลบน Google นั่นจึงทำให้เว็บไซท์มีความเป็นไปได้ที่จะค้นเจอสูงกว่า Platform อื่นๆ เพื่อนๆคนไหนสนใจอยากจะมีเว็บบล็อกเป็นของตัวเองบ้างมาทำตาม ขั้นตอนการสร้างเว็บไซท์ที่นี่เลย