4 hour workweek สุดยอดคัมภีร์ไบเบิลของชาวดิจิตอลโนแมด

4-Hour-Digital-Nomad-01

Concept ของ The 4 hour workweek คือการทำงานโดยใช้เวลาเพียงแค่ 4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือจะแปลอีกนัยหนึ่งได้ว่า การใช้เวลาทำงานให้น้อยที่สุด เพื่อให้มันเกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เช่น การลำดับความสำคัญของงานให้ดี ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นทิ้งไป จากนั้นก็จ้างคนหรือจะใช้ระบบอัตโนมัติมาทำแทนก็ได้ เพื่อที่เราจะมีเวลาไปสร้างสรรค์ผลงานที่เกิดประโยชน์มากกว่าต่อชีวิต

ซึ่งหลักการนี้จะทำให้เรามีเวลามากขึ้น และสามารถนำเวลาที่เหลือเหล่านั้นไปใช้ในการเดินทางท่องเที่ยวได้ เลยเกิดเป็นที่มาเทรนด์การใช้ชีวิตแบบ Digital Nomad นั่นเอง การที่จะทำให้ได้แบบที่ Tim Ferris กล่าวไว้แบบ 100% บอกเลยว่าต้องเป็นระดับแอดวานซ์ เพราะฉะนั้นถ้าเราเพิ่งจะเริ่มต้นก็ต้องใจเย็นนิดนึงเนาะ แต่รับรองว่ามันเวิร์คแน่นอน

Book4hourThe 4 hour workweek

ทำไมชาว Digital Nomad ถึงยกย่องให้หนังสือเล่มนี้เป็นคัมภีร์ไบเบิลของพวกเค้า อย่างที่เราเคยเล่าไปก่อนหน้านี้ว่า หัวใจหลักของ Digital Nomad คือ Independent Location Job, Business แล้วหนังสือเล่มนี้แหละที่บอกวิธีการทั้งหมดทุกอย่างว่าจะสร้างชีวิตแบบนั้นได้อย่างไร และนี่คือคำตอบที่เราเจอ

  1. ในหนังสือทำให้เห็นภาพรวมของชีวิตที่กำลังจะเกิดขึ้น อยู่ที่ว่าเราจะเลือกให้เป็นแบบไหน ซึ่งเค้าเสนอทั้ง 2 แง่มุมคือทำงานหนักแล้วรอเกษียณค่อยออกเดินทาง เมื่อวันนั้นมาถึงจริงก็ไม่รู้ว่าทุกอย่างจะเป็นแบบที่คิดมั้ย หรือจะสร้างธุรกิจซะตั้งแต่ตอนนี้แล้วก็ออกเดินทางไปด้วยใช้ชีวิตไปด้วย ดูสนุกกว่าแบบแรกเยอะเลย
  2. เนื้อหาในเล่มบอกถึงแหล่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ชีวิตในการสร้างธุรกิจของตัวเอง อย่างเว็บไซท์ต่างๆที่จำเป็น และทั้งหมดก็เกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยีด้วย ซึ่งมันมีประโยชน์มากๆถ้าเราทำธุรกิจในระดับ Global บางเว็บไซท์ก็ค่อนข้างเป็นที่รู้จักสำหรับคนไทยอยู่เยอะเหมือนกัน
  3. เค้าบอกถึงหลักการที่เปรียบเสมือน Roadmap ว่าจะเดินไปบนเส้นทางนี้ได้อย่างไร และต้องทำอะไรบ้าง ช่วยให้คิดงาน คิดแผนการของตัวเองได้เป็นระบบมากขึ้น และเป็นจริงได้
  4. เนื้อหาในหนังสือช่วยจุดประกายให้คนลุกขึ้นมาคิดว่าจะใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการได้ในแบบไหนบ้าง โดยให้อยู่ในรูปแบบออนไลน์ให้มากที่สุด กลายเป็นว่าช่วยทำให้คนมีทางเลือกมากขึ้น สร้างรายได้ได้หลากหลายขึ้นแล้วแต่ความสามารถ

Nomad1ตั้งนิยามใหม่

ทำความเข้าใจกับเศรษฐียุคเก่าและยุคใหม่

Concept ของเศรษฐีแนวเก่าส่วนใหญ่จะมีนิยามว่าทำงานให้หนัก แล้วเก็บเงินเอาไว้ใช้ชีวิตในช่วงหลังเกษียณ ส่วนเศรษฐีแนวใหม่คือการสร้างฐานะไปด้วย แล้วก็ใช้ชีวิตไปด้วยพร้อมๆกัน โดยไม่ต้องรอให้แก่ก่อนค่อยมาทำในสิ่งที่อยากทำ ส่วนพวกดิจิตอลโนแมดทั้งหลายน่ะหรอ ก็ต้องตั้งใจเลือกเป็นอย่างหลังอยู่แล้ว

ตั้งคำถามกับตัวเองว่า คุณต้องการอะไรในชีวิต

ตั้งคำถามเสร็จ พอได้สิ่งที่ต้องการออกมาแล้ว เช่น การมาใช้ชีวิตที่เมืองไทย แล้วก็มาต่อกับแผนปฏิบัติงานให้มันเป็นจริงโดยการคำนวณว่าต้องหารายได้เท่าไหร่ถึงจะเพียงพอกับค่าใช้จ่ายแต่ละเดือน สิ่งที่เหล่า Digital Nomad ล้วนต้องการเหมือนกันคือการได้ออกเดินทางไปใช้ชีวิตตามที่ต่างๆของโลก

โดยที่หอบโน๊ตบุ๊คไปทำงานด้วยได้ มีไวไฟแรงๆ ใช้ชีวิตในแต่ละที่เป็นเวลา 2-3 เดือน บางคนก็ใช้หลายปีเลย ที่เคยเจอเค้ามาอยู่เมืองไทย 5 ปีแล้วก็มี คงมีอะไรสนุกๆให้เค้าทำล่ะมั้ง คิดว่านะ

กำจัดสิ่งที่ไม่จำเป็นโดยใช้สูตรของพาเรโต กฏ 80/20

80% ของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมาจากการทำงาน 20% หรือก็คือการทำน้อยให้ได้มาก เริ่มจากโฟกัสในงานที่จะก่อให้เกิดประโยชน์มากกว่า เช่น การที่เราเอาเวลาไปโฟกัสกับลูกค้าที่ซื้อสินค้ากับเราเยอะๆ เป็นลูกค้ารายใหญ่ มากกว่าการไปสนใจลูกค้ารายยิบย่อยที่มีความต้องการจุกจิกไม่จบไม่สิ้น หรือการทำงานที่มีรายได้เป็นกอบเป็นกำมากกว่ารายได้ยิบย่อย

ตัวอย่างที่เราเห็นคือ มีเพื่อนชาวอังกฤษคนหนึ่ง พอเรียนจบปุ๊บเค้าก็บินมาใช้ชีวิตที่เมืองไทยอย่างไม่รีรอเลย แล้วงานที่เค้าทำคือการเป็น Web Designer ที่นอกจากจะออกแบบได้แล้วก็ยังสามารถทำให้มันเป็นเว็บไซท์ที่สมบูรณ์ได้อีก และอย่างที่เราพอจะรู้กันว่าการทำงานเป็นแค่ดีไซน์เนอร์ ทำกราฟฟิกธรรมดาอาจจะไม่ได้สร้างรายได้มากเท่าที่ควร

แต่เพื่อนคนนี้เลือกที่จะทำงานทางด้านเว็บไซท์ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดสายนี้มาก และมีมูลค่าต่อชิ้นงานสูงได้ถึง $5,000+ อันที่จริงเค้ามีรายได้เป็นเงินปอนด์ล่ะ ลูกค้าก็หาจากออนไลน์อย่างเว็บ Dribbble โซเชี่ยลสำหรับดีไซน์เนอร์โดยการอัพเดทพอร์ทโฟลิโอเอาไว้เรื่อยๆ ถ้างานเจ๋งจริงเดี๋ยวก็มีคนติดต่อมา หมายความว่าใน 1 เดือน เค้ารับทำแค่งานเดียวก็อยู่เมืองไทยได้สบายๆแล้ว แถมยังมีเวลาไปเที่ยวอีกเยอะเลย

สร้างความลื่นไหล

การจ้างงานภายนอก

การจ้างผู้ช่วย ที่เค้าเรียกกันว่า Virtual Assistant หรือ VA บริษัทที่ให้บริการรายใหญ่จะอยู่ในประเทศอินเดีย และฟิลิปปินส์ เพราะคนส่วนใหญ่จากสองประเทศนั้น สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้และค่าแรงถูกกว่าการจ้างชาวอเมริกันด้วยกันเอง

VA นั้นเหมาะกับโนแมดระดับแอดวานซ์ เพราะการจะจ้างงานจากภายนอกได้ ต้องมีงานที่ยุ่งพอสมควร และมีรายได้ที่เหลือเพียงพอที่จะจ่ายเงินเป็นค่าจ้างได้

อาชีพยอดฮิตอีกอาชีพหนึ่งของเหล่าโนแมด ก็คือการทำธุรกิจ E-Commerce หรือการขายสินค้านั่นเอง ก็มีตั้งแต่ขายสินค้าธรรมดาๆอย่าง เสื้อผ้า อุปกรณ์เบเกอร์รี่ อุปกรณ์เสริมกล้อง แชนเดอร์เลีย และอีกมากมาย อะไรก็ได้ที่มีความต้องการพวกเค้าจะหามาขายหมดเลย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็จะใช้หลักการ Dropshipping

สั่งสินค้าจากเมืองจีน โดยใช้เว็บดังอย่าง Alibaba เอามาพรีเซนท์ใหม่ หรือปรับให้สีสันสวยขึ้น น่าใช้ขึ้น แล้วก็ติดแบรนด์ตัวเองลงไป จากนั้นก็หาลูกค้ามาซื้อผ่านเว็บไซท์ เมื่อมีออเดอร์ ลูกค้าโอนเงินเข้ามา เค้าก็จะให้บริษัทที่เมืองจีนส่งสินค้าไปยังลูกค้าโดยตรงเลย เมื่อธุรกิจเริ่มโต ลูกค้าเยอะขึ้น ความวุ่นวายก็เพิ่มขึ้นตาม ทำให้พวกเค้าต้องจ้าง VA เพื่อให้เค้ามีเวลาในการไปรื่นรมย์กับชีวิต เก๋ไปอีก

สำหรับมือใหม่จะนิยมสร้างเว็บไซท์บน Shopify เพราะใช้งานง่าย และมีระบบที่เซ็ทมาให้อย่างดีแล้ว ทั้ง E-mail Newsletter, ระบบจ่ายเงิน และระบบเช็คสต๊อคสินค้า และการติดตั้งแอพสำหรับการทำมาร์เก็ตติ้ง ส่วนข้อเสียคือต้องเสียค่าบริการรายเดือน ขั้นต่ำก็ $29 แต่ถ้าทำเว็บเองก็เสียเวลาและมีเรื่องยุ่งยากมากหน่อยเท่านั้นเอง

ระบบทำเงินอัตโนมัติ

ตัวอย่างที่เค้าใช้เริ่มจากการสร้างเว็บไซท์ที่มีแต่ชื่อกับรูปสินค้า และซื้อคำสำคัญในการค้นหาอย่าง Google Adword เพื่อใช้ทดสอบว่าสินค้าที่เรากำลังจะสร้างขึ้นมามีคนซื้อจริงมั้ย มีปริมาณมากพอรึเปล่า วิธีการนี้เรียกว่า Minimum Viable Product หรือ MVP

คนที่ใช้วิธีนี้ส่วนใหญ่เป็นคนที่กำลังทำธุรกิจ E-Commerce เพราะมันช่วยลดขั้นตอน เวลาและค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไป ในกรณีที่เราดันผลิตสินค้าที่ไม่มีใครต้องการขึ้นมา วิธีนี้จะช่วยยืนยันว่าสินค้าของเรานั้นขายได้จริงๆ

ในพาร์ทนี้หนังสือจะแนะนำเว็บไซท์ที่จำเป็นต่อการสร้างธุรกิจไว้ให้แบบครบทุกด้าน ตั้งแต่เว็บที่ใช้จดโดเมน โฮสติ้ง เว็บซื้อขายภาพ เว็บที่ใช้วิเคราะห์ผู้เข้าชม เว็บสำหรับจ้างคนมาทำงานออกแบบโลโก้ แบรนด์

แล้วดิจิตอลโนแมดเค้าทำยังงัยกันในบทนี้ ส่วนใหญ่นะ พวกเค้าต้องทำความคุ้นเคยกับโลกออนไลน์และเทคโนโลยีให้มากขึ้น เรียนรู้ระบบเว็บไซท์ ระบบเก็บอีเมลลิสท์ เพราะส่วนใหญ่ตลาดอินเตอร์เค้าจะปิดการขายกันผ่านอีเมลล์ เมื่อเรามีจำนวนอีเมลลิสต์มากขึ้นก็เท่ากับว่าเราจะมีเปอร์เซ็นต์การขายมากขึ้นด้วย และลิสต์ข้อมูลลูกค้าก็ไม่มีวันหายไปไหน ถ้าหากว่าใช้โซเชี่ยลอย่างเดียววันใดวันหนึ่งโซเชี่ยลนั้นดันมีปัญหาขึ้นมา เท่ากับว่าจำนวนผู้ติดตามหรือฐานลูกค้าที่เรามีก็ต้องอันตรธานหายไปหมดเลย

นอกจากนี้ Digital Nomad บางส่วนก็เป็นคนที่ทำงานร่วมกันในด้านต่างๆ เช่น คนที่เป็นบล็อกเกอร์ ก็จะมาจ้างเว็บดีไซน์เนอร์และเดเวลอปเปอร์เก่งๆ ผลงานดี มาช่วยเค้าพัฒนาเว็บไซท์ของเค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนคนที่ทำธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ก็จ้างงานนักการตลาดสายดิจิตอลมาช่วยเพิ่มจำนวนลูกค้าให้เค้า และเพิ่มยอดเงินในกระเป๋าด้วย

อีกตัวอย่างคือ หลายๆคนจะมี Youtube Channel เป็นของตัวเอง แล้วเค้าก็มานั่งสัมภาษณ์กันเลยว่าเป็นใคร ยังงัย ธุรกิจที่ทำตอนนี้เป็นยังงัยบ้าง คนฟังก็ได้ประโยชน์ คนสัมภาษณ์และผู้ถูกสัมภาษณ์ก็ได้ประโยชน์ ช่วยเพิ่มจำนวน Follower ให้ซึ่งกันและกันได้อีก แล้วจำนวน Follower หรือ Subscriber เนี่ยแหละจะกลายมาเป็นฐานลูกค้าชั้นดีของพวกเค้าเลย รองจากการเก็บ E-Mail list

กลับมาที่เรื่องคอนเซ็ปท์ของระบบทำเงินอัตโนมัติ ก็คือการใช้เทคโนโลยีอย่างเช่นเว็บไซท์ แพลทฟอร์มต่างๆ รวมไปถึงระบบการทำงานที่แต่ละคนได้สร้างเอาไว้ มาช่วยทำงานเพื่อให้ตัวเองได้มีเวลามากขึ้นนั่นเอง เท่าที่ได้รู้จักกับเหล่าโนแมดก็ยังไม่มีใครทำได้ถึงจุดสูงสุดทำเงินด้วยระบบอัตโนมัติ 100% แบบที่ Tim Ferris บอก

แต่พวกเค้าสามารถพัฒนาตัวเองและพยายามสร้างระบบทำเงินในรูปแบบที่ต่างกันตามความชอบของแต่ละคน เช่น การเขียนบล็อก ทำยูทูป แนะนำสิ่งที่ดีที่เป็นประโยชน์แล้วก็ใส่ลิงค์ Affiliate ของสินค้าที่เค้าแนะนำเอาไว้ ถ้ามีคนคลิกซื้อเค้าก็จะได้ค่าคอมมิชชั่นเรื่อยๆ แบบที่ไม่ต้องลงแรงเพิ่มอีก วิธีนี้ก็เป็นช่องทางหนึ่งในการใช้ระบบอัตโนมัติช่วยในการหาเงิน หรือจะเรียกว่าการสร้าง Passive Income ก็ไม่ผิด

นอกจากนั้นก็มีการเอาประสบการณ์การทำธุรกิจที่ผ่านมา เอามาทำเป็นคอร์สออนไลน์เพื่อให้คนที่ติดตามเค้า เชื่อเค้า มาซื้อสินค้ากับเค้าโดยที่เค้าเสียเวลาในการสร้างสินค้า Digital Product นั้นเพียงแค่ครั้งเดียว แต่สามารถขายและสร้างรายได้เข้ากระเป๋าได้แบบไม่มีวันหยุด

ง้างโซ่ตรวน

4 hour workweekRemote Job

หลายๆคนก็เริ่มจากการทำตามวิธีในหนังสือ แบบที่ง่ายที่สุดคือ การขอบริษัทมาทำงานแบบ Remote Work เราได้เจอคนนีงที่งาน Nomad Summit เป็นผู้หญิงอายุประมาณ 30 ชื่อ Lauren มาจากเมือง Austin ในรัฐ Texas, USA เค้าก็ทำงานกับบริษัทจิวเวอร์รี่ในเมืองนั้น และขอเจ้านายทำงานจากระยะไกล มาใช้ชีวิตที่เชียงใหม่ 2-3 เดือน และส่งงานครบตามที่เจ้านายสั่ง แล้วเดี๋ยวก็จะบินกลับอเมริกาเพื่อไป Follow up กับบริษัท

ในหนังสือแนะนำให้เริ่มจากการขอเจ้านายมาทำงานนอกออฟฟิศ 1 วันต่อสัปดาห์ แต่ทำงานให้ได้มากกว่าตอนที่อยู่ออฟฟิศ แบบนั้นเจ้านายจะยอมทำตามข้อเสนอของคุณได้มากขึ้น จากนั้นก็เพิ่มเวลาทำงานจากนอกออฟฟิศให้มากขึ้นจนถึงขั้นไม่ต้องเข้าออฟฟิศเลย

Freelancing

อีกกรณี คือการมาตายเอาดาบหน้า เริ่มจากขายทรัพย์สินทั้งหมดที่มี ไม่ว่าจะเป็น รถ บ้าน ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่คิดว่าจะไม่เอาติดตัวมาด้วยในขณะที่ใช้ชีวิตแบบ Digital Nomad เคลียร์หนี้สินที่มีให้หมด จากนั้นก็ลาออกจากงานโดยที่หอบเอาเงินที่ได้จากการขายสินทรัพย์ที่เคยมี มาใช้ชีวิตในประเทศที่ค่าครองชีพถูกกว่า อย่างเช่น เมืองไทย อินโดนีเซีย โคลอมเบีย

ซึ่งเงินจำนวนนั้นก็มากพอที่จะทำให้เค้าสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ขั้นต่ำก็ 2-3 เดือน จนกว่าจะหาอาชีพใหม่ที่เหมาะสมได้ ชนชาติที่เจอเยอะสุดที่มาใช้ชีวิตแบบนี้คือ ชาวอเมริกัน รองลงมาคือ ยุโรป แคนาดา ออสเตรเลีย เอาง่ายๆก็เป็นชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก เพราะมันง่ายต่อการคุยงานกัน จากนั้นก็หางานรับจ๊อบฟรีแลนซ์จากเว็บไซท์เหล่านี้

upwork.com

peoplehour.com

guru.com

Igloo.net

งานที่พวกเค้าทำส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยี ถ้าใครเรียนมาสายนี้อยู่แล้วก็หางานไม่ยาก แต่ถ้าใครไม่มีสกิลทางด้านนี้เลย ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้เพิ่มจากคลาสออนไลน์ อย่างเช่น udemy.com  Lynda.com หรือจะหาคนมาสอนตัวต่อตัวก็ได้

ซึ่งก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่าทำไมพวกเค้าต้องพยายาม Networking กัน และสิ่งที่จะเป็นตัวช่วยตัดสินว่าเค้าจะจ้างงานคุณหรือไม่ ก็จากการดูผลงานผ่านพอร์ทโฟลิโอออนไลน์ที่แต่ละคนต้องพยายามสร้างเอาไว้นั่นเอง

การเกษียณแบบย่อม

ในบทนี้จะพูดถึงความฝันของหลายๆคนที่คิดไว้ว่าจะตั้งใจทำงานอีก 10-20 ปี เพื่อจะเก็บเงินก้อนโตและเอามันมาใช้จ่ายในการท่องเที่ยว ใช้ชีวิตชิลๆ 2-3 เดือนในเมืองทางฝั่งเอเชียอย่างเมืองไทย สิ่งที่ Tim บอกไว้นั้นคือเราไม่จำเป็นต้องหาเงินมากมายขนาดนั้นเพื่อรอวันจะได้ไปเที่ยว เพราะถ้าเราหาข้อมูลดีๆจะพบว่าการไปเที่ยวนั้นมันไม่ได้แพงเลย

ตั๋วเครื่องบินบางทีก็มีโปรโมชั่นที่ถูกมาก เรื่องที่พักก็สามารถใช้บริการ Airbnb ได้ หรือการเลือกไปเที่ยวประเทศมีค่าครองชีพถูกลงมาหน่อย อย่างเช่น สเปน มากกว่าการจะไปอังกฤษ หรือฝรั่งเศส ก็สามารถทำให้ฝันของการเกษียณเป็นจริงได้เร็วขึ้น

เหล่าโนแมดหลายคนรีบเก็บกระเป๋าเพื่อจะออกเดินทางมาตั้งต้นชีวิตกันที่เมืองไทยกันเป็นที่แรก เพราะที่นี่มีโนแมดรุ่นบุกเบิกที่พร้อมจะให้คำแนะนำ และให้ความช่วยเหลือ ทำให้พวกเค้าสามารถสร้างธุรกิจไปด้วยแล้วก็ใช้ชีวิตไปด้วยได้

บางคนมีธุรกิจที่สร้าง Cash Flow ได้พอสมควรแล้วก็จะออกเดินทางกันบ่อยหน่อย ส่วนของที่เค้านิยมพกไปก็มีขนาดเพียงแค่กระเป๋าสัมภาระที่ถือขึ้นเครื่องได้ คือชีวิตพวกเค้าค่อนข้าง Minimal นะเราว่า เค้าจะทำตัวง่ายๆ มีของติดตัวน้อย พกไปแต่อุปกรณ์ที่จำเป็นอย่าง โน๊ตบุ๊ค มือถือ กล้อง แล้วก็เสื้อผ้าไม่กี่ชิ้น เพื่อความคล่องตัวในการเดินทาง ชิลมากอ่ะ

การปล่อยวาง

สำหรับคนที่อยากจะทำธุรกิจ อยากเปลี่ยนงาน อยากได้ชีวิตใหม่ แต่ก็มีความเสี่ยง กลัวว่ามันจะไม่เวิร์คแล้วแผนจะพัง เค้าแนะนำให้ทำแผนการเอาไว้ ให้ลองจินตนาการถึงเหตุการณ์ที่แย่ที่สุดที่อาจเกิดขึ้นกับคุณเมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน เขียนมันออกมาบนกระดาษ จากนั้นก็เขียนหนทางแก้เอาไว้ด้วย แล้วเราจะได้พบว่าทุกอย่างมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดหรอก เหมือนว่าเราเตรียมใจไว้แล้ว ที่เหลืออะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไป นี่ก็เป็นลูกยุอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ชาวดิจิตอลโนแมด กล้าที่จะเลือกใช้ชีวิตพเนจรแบบนี้

สรุป

หนังสือ 4 hour workweek จะเหมาะมากๆกับคนที่อยากเป็น Digital Nomad อยากมีไลฟ์สไตล์แบบที่ตัวเองอยากได้ เพราะเค้าบอกวิธีอย่างละเอียดยิบ ถ้าใครที่ทำธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ จะเข้าใจเนื้อหาข้างในได้อย่างลึกซึ้งขึ้นมากแน่นอน บางขั้นตอนในหนังสือมันดูเป็นวิธีการที่ง่ายมาก ทำตามได้ไม่ยาก แต่อันที่จริงมันมีความซับซ้อนอยู่เยอะทีเดียว

ต้องเข้ามาลองทำธุรกิจพวกนี้ดูแล้วจะรู้ว่ามันต้องใช้เวลาพอสมควรเหมือนกัน แต่สำหรับคนที่มีประสบการณ์แล้ว ทุกอย่างมันก็จะง่ายขึ้น คล่องตัวขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงสินค้าสองประเภทคือสินค้าทั่วไป จับต้องได้อย่าง Physical Product และสินค้าประเภท Info Product ที่มาจากข้อมูล ประสบการณ์ของตัวเราเอง

ซึ่งสินค้าแบบหลังมีต้นทุนต่ำจริง แต่ต้องใช้เวลาในการผลิตมากทีเดียว เราคิดว่ามันเสียเวลาสร้างมากกว่าสินค้าธรรมดาซะอีกนะ และท้ายที่สุดคือไม่มีใครบอกได้ว่ามันจะขายได้บ้างรึเปล่า แต่เท่าที่ได้เก็บข้อมูลของเหล่าโนแมดมา ก็เห็นได้ว่าถ้าพวกเค้าทำให้ตัวเองมีฐานแฟนคลับ มีคนเชื่อมากพอสมควร สินค้า info product นี่ล่ะจะเป็นแหล่งรายได้ชั้นดีเลยทีเดียว

ในหนังสือจะมีการแนะนำเว็บไซท์ตัวช่วยต่างๆไว้เยอะมาก รวมถึงเว็บไซท์ที่เป็นแบรนด์ของเพื่อนเค้าที่ทำธุรกิจแบบที่ไม่ผูกมัดตัวเอง แปลว่าการที่แต่ละคนควรมีเว็บไซท์เป็นของตัวเองนั้นก็เป็นเรื่องสำคัญ ใช้ได้ทั้งการสร้างแบรนด์ตัวเอง และการทำธุรกิจขายสินค้า ช่วยให้คนเข้าถึงพวกเค้าเหล่านี้ได้ง่ายขึ้นบนโลกออนไลน์