งาน Nomad Summit คือ งานสัมนาที่รวบรวมชาว Digital Nomad จากทั่วโลกมาไว้ด้วยกันที่งานนี้ หัวข้อหลักที่พูดกันคือ Independent Location Business หรือ การทำธุรกิจที่มีอิสระทางด้านสถานที่ งานนี้จัดที่โรงแรม เลอ เมอริเดียน เชียงใหม่ มีหลายคนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่กันอยู่แล้ว และมีอีกหลายคนที่ตั้งใจบินมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ภายในงานจะมีชา กาแฟ ขนม อาหารกลางวัน เลี้ยงไม่อั้น ถ้าสงสัยว่า Digital Nomad คืออะไรตามมาที่นี่ได้เลยจ้า
คอนเซ็ปท์ของงานนี้คือการให้เหล่า Digital Nomad มาคุยกันแลกเปลี่ยนความเห็นกัน ได้พูดคุย ทักทาย แชร์ประสบการณ์ แล้วก็มีการเชิญ Speaker เจ๋งๆ มาเล่าเรื่องราวการทำธุรกิจให้ฟัง ทั้งหมดก็มี 8 คนด้วยกัน ซึ่งแต่ละคนนั้นก็ได้เอาข้อคิดจากประสบการณ์ที่พวกเค้าได้ทำธุรกิจกันมาแล้วมันเวิร์ค
เอามาแชร์ให้พวกเราฟังเพื่อต่อยอดความรู้ แนวคิดต่างๆให้ตัวเองและยังสามารถนำไปปรับใช้กับงานที่ทำอยู่ให้มันดีขึ้นได้อีกด้วย เราว่าสิ่งนี้มันมีประโยชน์มากๆ กับการทำทุกธุรกิจเลย เราก็เลยสรุปข้อมูลที่ได้ฟังเอามาแบ่งให้เพื่อนๆอ่านกัน เริ่มกันที่คนแรกเลยละกัน
สารบัญเนื้อหา
Matt Bowles
https://www.maverickinvestorgroup.com/
เค้าทำแพลทฟอร์มที่ใช้สำหรับการซื้อขายและให้เช่าบ้านในประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยที่เค้าทำหน้าที่เป็นเหมือนคนกลางช่วยให้คนซื้อและคนขายสะดวกขึ้น ซึ่งการที่เค้ามาวันนี้ไม่ได้มาอธิบายถึงธุรกิจของตัวเอง แต่เค้ามาเล่าถึงบทเรียนที่เค้าได้รับรู้หลังจากที่ทำธุรกิจนี้
- เค้าบอกว่าไม่ต้องรู้สึกกดกับสิ่งที่เราเลือก แล้วก็ให้เตรียมใจรับเรื่องที่ไม่คาดคิดด้วย และทุกๆครั้งที่รู้สึกว่าสิ่งที่ทำมันเฟล ก็จงมองหาโอกาสและเรียนรู้จากเหตุการณ์ครั้งนั้นซะ
- ให้เตรียมตัวรับมือกับความขึ้นๆลงๆแบบ Rollercoaster เราไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเจออะไรบ้าง บางวันก็มีลูกค้าเข้ามาเยอะไปหมด บางวันก็ไม่มีเลย ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้มันก็กระทบกระเทือนกับจิดใจไม่น้อย แต่ก็ต้องพยายามทำอารมณ์ให้ยืดหยุ่น รับได้ทุกสถานการณ์ ถึงแม้ว่าคุณจะโดนลมพัดคุณล้มลงครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ต้องพยายามดึงตัวเองให้กลับมาที่ Routine เดิม ทำตามแผนที่วางไว้ไม่ต้องสนใจเรื่องอื่น
- ถ้าหากว่าธุรกิจที่ทำอยู่เกิดเจ๊งขึ้นมา ก็แปลว่า มีปัญหาที่จะต้องแก้ไข ไม่ใช่การเลิกทำธุรกิจนั้นไปเลย แล้วก็บอกว่าให้ขยันขึ้น ตื่นเร็วขึ้น นอนให้ดึกอีกนิด เพื่อที่งานจะได้ดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพขึ้น
- คิดนอกกรอบเพื่อให้เห็นภาพการแก้ปัญหาที่กว้างขึ้น
- หลีกเลี่ยงกับดักการเป็นนายตัวเอง ให้คิดถึงการสร้างธุรกิจ ไม่ใช่การสร้างงานให้ตัวเอง
- คนที่ทำงานรับจ้าง คือการเก็บค่าจ้างจากแรงงานหรือความสามารถเฉพาะทางของตัวเอง ถ้าเราไม่ทำงานเราก็ไม่ได้เงิน ส่วนคนที่เป็นเจ้าของธุรกิจ คือการสร้างระบบและกระบวนการที่มีประสิทธิภาพ และจ้างคนอื่นมาทำงานแทน
- ปกป้องเวลาของตัวเองให้ดี พยายามตัดสิ่งรบกวนออกไปให้หมด จัดสรรเวลาและตารางการทำงานให้มีประสิทธิภาพ
- คำนวณและวิเคราะห์วิธีการบริหารเวลาให้คุ้มค่าที่สุด
- ใช้หลักการของ Pareto ให้เกิดประโยชน์กับเวลามากที่สุด นั่นก็คือกฏ 80-20 แปลว่า 20% ของสิ่งที่คุณลงมือทำควรให้ผลลัพธ์ 80%, 4% ของการลงมือทำต้องได้ผลลัพธ์ 64%, 1% ของการลงมือทำ ต้องให้ผลลัพธ์ 50%
- ผสมรวมไลฟ์สไตล์ของคุณเข้ากับวัฒนธรรมองค์กรของคุณ ให้เป็นเหมือนภาพจำของแบรนด์ และทำให้คุณดูน่าสนใจ การทำมาร์เก็ตติ้งแบบธรรมดามันน่าเบื่อไปแล้ว วิธีการนี้ทำให้มีคนอยากมาร่วมงานกับคุณ ทำให้งานของคุณดูน่าสนุก ช่วยลดหย่อนภาษีได้ ลองปรึกษานักบัญชีคุณดูสิ
- สร้างความสัมพันธ์แบบพี่น้อง ลองขายสิ่งของให้กับคนที่มีความชอบคล้ายๆกันสิ ผู้คนจะรู้สึกถึงกันมากกว่า (มั่นใจและสบายใจมากกว่า) กับคนที่ได้แบ่งปันเรื่องราวความชอบ คุณค่า และความหลงใหล และไหนๆเราก็เหมือนอยู่ในชุมชนเดียวกัน เค้าก็อยากจะจ้างเหล่า Digital Nomad มาทำงานด้วยมากกว่าคนข้างนอก
ในฐานะที่เป็นคนหนึ่งที่อยากจะเดินบนสายนี้ อย่างน้อยก็พยายามให้มันใกล้เคียงที่สุดล่ะ เราพบว่าการที่เราสร้างอะไรขึ้นมาเองจากศูนย์ และไม่มีใครมาบอกด้วยว่าต้องทำอย่างไร บางครั้งก็รู้สึกว่าเอ๊ะ เราคิดถูกรึเปล่า เรากำลังอยู่ที่จุดไหนแล้ว อีกไกลมั้ยกว่าจะไปถึงเป้าหมายนั้น ซึ่งพอได้ฟังประสบการณ์ที่ Matt เล่ามา ก็ทำให้เข้าใจได้ว่า การเป็น Entrepreneur นั้นทุกคนต้องเจอกับเหตุการณ์แบบนี้กันทั้งนั้น มันไม่ง่ายเลย แต่ให้เชื่อเถอะว่าอีกไม่นานมันจะสำเร็จแน่นอน อย่าเพิ่งถอดใจไปก่อนแล้วกัน
Viola Eva Schenkel
สร้างธุรกิจมูลค่า 6 หลักต่อปีโดยเริ่มจากศูนย์ เธอใช้เวลาเพียงแค่ 4 เดือนในการสร้าง มีทีมงานทั้งหมด 15 คน ที่อยู่ตามสถานที่ต่างๆทั่วโลก
เธอเล่าว่าสิ่งที่เธอจำเป็นต้องใช้อยู่เสมอคือ
- เรื่องของกลยุทธ์และวิสัยทัศน์
- การตลาดและการขาย
- ระบบปฏิบัติการ SEO Adwords, Web Analytics &CRO
- ทีมงานอย่างแอดมิน ผู้ช่วยดูแลการเงิน และ HR
วิธีบริหารลูกค้าที่เธอแนะนำคือ การทำให้ทุกอย่างง่ายสำหรับพวกเค้า และตัววัดผลที่มีประสิทธิภาพที่สุดก็คือ ความสุขของลูกค้านั่นเอง
เรื่องของวิสัยทัศน์
มุมนี้วิโอล่าให้ความเห็นในแง่ของการบริหารทีมงานที่อยู่ห่างไกลกันว่ามันไม่ง่ายเลย เพราะเราจะได้เจอกันแค่บนอินเตอร์เน็ทเท่านั้น ซึ่งอาจทำให้มีปัญหาในเรื่องของตารางงาน และวินัยการทำงานไปด้วย สิ่งที่เธอคาดหวังจากทีมงานของเธอมากที่สุดคือ เรื่องของการพูดกันด้วยความจริง และส่งงานตรงเวลา ติดปัญหาอะไรก็ให้บอกกันตรงๆเลย
เธอได้ยกตัวอย่างวิสัยทัศน์ของบริษัทให้พวกเราได้ฟังกันว่า
- เรารวมกันเป็นหนึ่งเดียวและเชื่อมต่อระหว่างกัน เราใช้เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์มาสร้างสภาวะแวดล้อมทางธรรมชาติแบบใหม่ที่สัญชาติญาณดิบในตัวเรานั้นสามารถเป็นอิสระได้
- เรารู้ว่าเทคโนโลยีและการตลาดสามารถทำให้ธุรกิจไปต่อได้
- เราทำธุรกิจแบบที่แตกต่างออกไปเพื่อส่งผลในเชิงบวกให้กับโลกใบนี้
- เราสร้างระบบศูนย์รวมที่ทำงานกันด้วยความรักอย่างล้นเหลือ
- เรามีอิสระ เราคือผู้บุกเบิกที่เอาเรื่องเขตกั้นออกไปจากการทำธุรกิจ การตลาด ร่างกาย และจิตใจในเวลาเดียวกัน
- พวกเราโตขึ้น ดีขึ้น และมีจิตใจเมตตามากกว่าเดิม พวกเราเป็นคนวัยหนุ่มสาวที่ทั้งกล้าหาญและหิวกระหาย
วิธีที่ใช้ในการดูแลทีมงานของเธอคือ การสร้างตารางเช็คชื่อ ที่บ่งบอกชื่อและตำแหน่งงาน มีการให้คะแนนในการทำงานเพื่อวัดประสิทธิภาพด้วย ถึงแม้ว่าทุกคนจะทำงานกันคนละที่ แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้ทุกอย่างสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น คือเธอจะนัดเวลาในการเจอหน้ากันทุกวัน เพื่อเป็นการย้ำว่า เอ้า เข้างานได้แล้วนะ ซึ่งถ้าใครไม่เวิร์ค ไม่มีวินัย เธอก็พร้อมที่จะเลิกจ้างได้เสมอ
นอกจากเธอจะมีทีมงานแบบออนไลน์แล้ว ล่าสุดเธอก็จ้าง CEO มาบริหารทีมด้วย แล้วเธอก็มีอิสระที่จะใช้ชีวิตที่ไหน แบบไหนก็ได้ที่เธออยากจะทำ นี่มันเป็นจุดสูงสุดของชีวิตแบบดิจิตอลโนแมดเลยนะเนี่ย
และสิ่งที่เธอทิ้งท้ายเอาไว้ก็คือเรื่องของ ความใจเย็น ที่หมายถึง ภาวะทางจิตใจที่นิ่งเฉยและสงบ หรือจะแปลว่า การที่ไม่ถูกรบกวนโดยสิ่งเร้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการพบเจอกับความเจ็บปวด หรือเหตุการณ์ต่างๆที่ส่งผลให้บางคนถึงกับต้องสูญเสียความสมดุลทางด้านจิตใจกันเลย
เรื่องราวของ Viola นั้น เหมาะมากกับคนที่ทำงานสายบริการ ที่ต้องมีทีมงานคอยทำงานในส่วนต่างๆ ซึ่งการบริหารจัดการเรื่องคนก็เป็นอะไรที่วุ่นวายอยู่พอสมควร แต่ถ้าเรามีแบบแผนที่ดีอย่างที่ Viola แนะนำก็จะช่วยลดปัญหาต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นและทำให้บริษัทเติบโตไปได้อีกไกลทีเดียว
J Keitsu
All the way up ทำธุรกิจ E-Commerce จาก USA
เค้าทำธุรกิจหลักล้านดอลล่าร์ โดยเรียนรู้จากการที่ทำธุรกิจเจ๊งไปสองรอบ นอกจากธุรกิจแล้วเค้าก็ยังทำคลาสเรียนออนไลน์สอนเรื่องการทำธุรกิจ Dropshipping ด้วย
เค้ามาเล่าเรื่องทริคต่างๆที่นำมาใช้โปรโมทสินค้า อย่างเช่นการใช้ Pop Up banner ที่จะขึ้นโชว์บนหน้าเว็บไซท์ของเค้าเสมอ เป็นส่วนลดของสินค้า และ Pop Up ที่จะโผล่ขึ้นมาตอนกำลังจะกดจ่ายเงินว่าซื้อเพิ่มมั้ย มีส่วนลดอีกนะ ซึ่งนอกจากโฆษณาเรียกความสนใจบนเว็บไซท์แล้ว เค้าก็ยังมีเรื่องของการใช้โซเชียลมีเดียมาแนะนำด้วย อย่างเช่น
- การใช้ Instagram โดยใช้ Influencers ในการถ่ายรูปโชว์หรือรีวิวสินค้า และทริคสำคัญที่เค้าบอกมาคือการขอไปจัดการหลังบ้าน Instagram ของ Influencers ที่เค้าใช้บริการอยู่ จากนั้นก็ยิงแอดโพสต์โฆษณาสินค้าลงไปหากลุ่มคนที่ติดตาม Influencers คนนั้น เมื่อได้ยอดขายก็แบ่งเปอร์เซ็นต์บางส่วนไปให้กับ Influencers คนนั้นด้วย เรียกว่า Win Win กันทั้งคู่
- การใช้ Youtube เริ่มจากการหาช่องที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเค้า จากนั้นก็ทำโฆษณาบนช่องเหล่านั้น แล้วโฆษณาที่ใช้ก็เป็นแบบที่บอกให้คนคลิกเข้ามาดูวิดีโอรีวิวที่ช่องของเค้า มันคือวิธีการหาคนมาคลิกที่ลิ้งค์ให้ได้ภายใน 30 วินาที
- การเลิกใช้ Shopify เพราะแพลทฟอร์มนี้ต้องเสียเงินเป็นรายเดือน ยิ่งเราทำให้ตัวเว็บมีฟังก์ชั่นเพิ่มมากเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายก็จะสูงขึ้นมากเท่านั้น เค้าอยากจะลดรายจ่ายเลยสร้างเว็บไซท์ขายของขึ้นมาเองใหม่ ส่วนเว็บไซท์บน Shopify ของเค้าที่มีทราฟฟิคคนเข้ามาหาเรื่อยๆอยู่แล้ว ก็ทำเป็นโฆษณาหน้าเดียวแต่ใส่ลิ้งค์ออกไปสู่เว็บใหม่ที่เค้าทำไว้แทน จะได้ไม่เป็นการสูญเสียลูกค้าที่มาจากเว็บเดิมไป
ตัวอย่างที่เค้าเอามาแนะนำคือการขายสินค้า แล้วก็มีโปรโมชั่นซื้อ 3 แถม 2 หรือเป็นการเขียนแคปชั่นให้มันโดนๆ อย่างเช่น ซื้ออายครีมใช้คนเดียว ไม่เป็นห่วงเพื่อนหรอ ซื้อไปแบ่งเพื่อนด้วยสิถึงจะเรียกว่ารักกันจริง
จากที่ได้เห็นคาแรคเตอร์ของเค้า รู้สึกได้ว่าคนนี้ค่อนข้างเป็นคนหัวรั้น ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ช่วงแรกๆที่ทำธุรกิจแล้วก็เจ๊ง เค้าก็ยังคงพยายามต่อไป โดยหลักๆคือทำงานพาร์ทไทม์ตามร้านอาหารไปก่อน ในช่วงที่ธุรกิจยังไม่สร้างรายได้ แล้วก็เอาเวลาที่มีมาใช้พัฒนาธุรกิจออนไลน์ของเค้า
วิธีการของ J Keitsu เหมาะมากสำหรับคนที่ทำธุรกิจขายสินค้าแบบ Physical Product ออนไลน์ โดยเฉพาะคนที่ชื่นชอบการฮาร์ดเซลล์ ลดแลกแจกแถม อัดโปรโมชั่นเยอะๆ และที่สำคัญต้องมีการเขียนแคปชั่นให้น่าตื่นเต้นและน่าสนใจมากกว่าแค่คำว่า มาซื้อสิ ด้วยนะ
Nick Nimmin
Youtuber ผู้สร้างจำนวนผู้ติดตามหลักแสนได้ในระยะเวลาเพียง 1 ปีเท่านั้น คอนเท้นหลักๆที่เค้าทำจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการแนะนำข้อมูลที่มีประโยชน์ให้กับคนที่เพิ่งเริ่มทำ Youtube
เค้ามาให้ความรู้ว่าการทำ Youtube มันช่วยเค้าสร้างรายได้อย่างไร ซึ่งมีด้วยกัน 9 วิธี ดังนี้
- web store ทำหน้าที่เหมือนเป็นเว็บไซท์สำหรับขายสินค้าของเค้า
- ให้บริการเป็นที่ปรึกษากับคนที่เพิ่งเริ่มทำ Youtube
- ทำ Affliliate หรือ การแนะนำสินค้า โดยเอาลิ้งมาแปะแล้วให้คนคลิกซื้อผ่านลิ้งแล้วเราจะได้ค่าคอมมิชชั่น อาจจะ 10-15% ต่อการขายหนึ่งครั้ง
- เป็นพ่อค้าขายเสื้อเชิ๊ต
- ใช้ในการระดมทุน
- ใช้สร้าง E-mail List เป็นการเก็บอีเมลล์ของคนที่เป็นแฟนคลับของเค้าเอาไว้ เช่น การบอกในคลิปว่า Sign up ที่นี่นะ เพื่อรับฟรีไกด์บุ๊คแนะนำการทำยูทูป แลกกับอีเมลล์ของแฟนคลับ ซึ่งสไตล์ของฝรั่งเค้าจะทำการตลาดด้วยการใช้อีเมลล์มาร์เก็ตติ้งเป็นหลัก เพราะมันสามารถส่งโฆษณาไปที่อีเมลล์เค้าซ้ำๆได้เลย โดยที่ยังงัยก็ไม่หายไปไหน
- รายได้จากโฆษณาบน Youtube ทุกครั้งที่มันขึ้นโชว์บนคลิปของเค้า
- Superchat เดี๋ยวนี้ใน Youtube ก็สามารถ Live และมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นได้แบบเรียลไทม์เหมือนกับเฟซบุ๊ค วิธีนี้ยิ่งทำให้คนรู้สึกมีส่วนร่วมกับช่องมากขึ้นและช่วยเพิ่มจำนวนคนกดติดตามด้วย
- Sponser รายได้จากสปอนเซอร์ที่เข้ามาติดต่อจ้างงานเค้า เพราะเค้าเป็นคนดังทีเดียว มียอดคนติดตามถึง 140,000 คน
สิ่งที่ youtube ช่วยธุรกิจของเค้า
- ทำให้เค้ากลายเป็นเป็นผู้นำของยุคสมัย
- เปลี่ยนตัวเค้าให้กลายเป็นผู้นำในธุรกิจสายนี้
- สร้างทราฟฟิคที่เข้ามาแบบไม่มีวันหยุดให้กับทุกอย่างที่เค้ามีความเกี่ยวข้อง
- มันช่วยให้เค้าสร้างจำนวนอีเมลล์ลิสต์ที่มากเพียงพอจะให้เค้าใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาดได้
- สร้าง community ให้กับแบรนด์ส่วนตัวของเค้าและช่อง youtube
- 100% มาเองโดยธรรมชาติโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อโฆษณา
โครงสร้างของวิดีโอที่ได้ผลกับคนดู ที่ควรมี
- ตัวอย่างสั้นๆ
- เรื่องแบรนด์
- เนื้อหาสาระ
- การกระตุ้นให้คนทำอะไรบางอย่าง เช่น กดซื้อ คลิกลิ้งค์ กด Subscribe
หัวใจหลักของการทำ Youtube ให้ปังก็คือการทำวิดีโออย่างต่อเนื่อง และมีความถี่สูง อีกข้อที่สำคัญคือความตั้งใจในการทำวิดีโอ ถ้าใครมีโอกาสได้แวะเข้าไปดูช่องของ Nick ล่ะก็ จะเห็นว่าของเค้าฟูลออปชั่นอลังการมาก ไม่เท่านั้นนะเรายังได้เจอคลิปนึงที่เค้าทำแบบ Live นานถึง 5 ชั่วโมง ยาวมากกก ยอมใจเค้าจริงๆ
วิธีการเป็น Youtuber ของ Nick นั้น เค้าทำทั้งสองเรื่องพร้อมกันได้เลยคือ เป็นช่องทางหลักในการโปรโมทธุรกิจของเค้า และก็เป็น Influencer ไปด้วยในตัว มีสปอนเซอร์ติดต่อเข้ามาขอร่วมงานอยู่เรื่อยๆ ทั้งหมดที่เค้าเล่ามานั้น เค้าอยากให้คนหันมาทำ Youtube กันมากขึ้น เพราะมันช่วยเพิ่มโอกาสทำเงินและโอกาสทางธุรกิจได้อีกมาก ไม่ต้องสนใจว่าตัวเองจะหัวล้าน ไม่หล่อ ไม่สวย แล้วคนดูจะไม่ชอบ แต่คนจะสนใจตัวคอนเท้นที่คุณนำเสนอมากกว่าต่างหาก
Virginia Campo
แพลทฟอร์ม Gignomads เธอเล่าว่าเธอเคยทำงานในบริษัทสตาร์ทอัพ ทุกอย่างกำลังไปได้ดี เมื่เวลาผ่านไปได้ 3 ปี เธอก็รู้สึกว่าชีวิตมันขาดอะไรไปเธอเลยเขียนใบลาออก แล้วก็ออกเดินทาง หลังจากที่คิดอยู่นานว่าจะเอาอย่างไรดีกับชีวิต เธอก็ปิ๊งไอเดียขึ้นมาว่าอยากทำแพลทฟอร์มที่ช่วยหางานให้ชาวโนแมดสร้างรายได้ได้ โดยให้ทำงานอะไรก็ได้ง่ายๆ ไม่จำกัดอยู่แต่เรื่องของเทคโนโลยี การตลาด หรือการทำอีคอมเมิร์ซเหมือนที่แพลทฟอร์มอื่นเค้าทำ
ข้อคิดที่เธอเอามาแชร์ก็คือ สมมุติว่าเรามีความฝันว่าอยากจะทำอะไรซักอย่างเป็นของตัวเอง แล้วต้องเลือกการลาออกจากงาน แต่ก็ขอให้เผื่อพื้นที่ไว้หน่อยว่าถ้าสิ่งที่เราทำมันไม่เวิร์ค เราก็อาจจะกลับไปใช้ชีวิตที่บริษัทเดิมอีกครั้งก็ได้
ให้ติดต่อเจ้าของกิจการ เมนเทอร์ที่คุณรู้จัก เพื่อขอความช่วยเหลือแล้วก็คำแนะนำดีๆ
ถ้าจะทำธุรกิจสตาร์ทอัพแล้วเราไม่ได้ทำเป็นทุกขั้นตอนก็ต้องหาคนเก่งมาช่วย พอเธอได้ลองขอความช่วยเหลือดูบ้าง คนส่วนใหญ่ ก็ตอบรับคำขอของเธอ
Startup ที่เธอกำลังทำอยู่นี้อยู่ในขั้นเริ่มต้น เธอต้องทำ Focus Group เพื่อหาวิธีแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริงและตรงประเด็น เพื่อให้ตอบโจทย์และเป็นประโยชน์ต่อสังคมโนแมดในวงกว้างจริงๆ เนื่องจากว่า Platform แนวนี้มันมีเจ้าที่ครองตลาดอยู่แล้ว อย่างเช่น Upwork, Fiverr คนในงานส่วนใหญ่เลยมองว่ามันไม่ใหม่เท่าไหร่ และจุดที่แตกต่างจาก Platform ก็ยังไม่ชัดและยังไม่แข็งแรงพอ ก็ต้องดูกันต่อไปยาวๆว่า สิ่งที่เธอทำมันจะเวิร์คมั้ย เราก็ได้แต่เอาใจช่วยอยู่ไกลๆ
Derek Pankaew
Derek เริ่มจากการทำธุรกิจขนาดเล็กให้ประสบความสำเร็จ แล้วก็พัฒนาธุรกิจใหม่ขึ้นมาจนสามารถสร้างรายได้หลัก $10,000 ต่อเดือน
เค้าแนะนำให้คิดถึงการวางกลยุทธ์ในการสร้างสินค้า มากกว่าชั้นเชิงหรือเทคนิคในการขายสินค้า ซึ่งสิ่งสำคัญคือการสร้างสินค้าที่ Unique ไม่เหมือนใคร และต้องก็อปปี้ยาก เค้ายกตัวอย่างเสื้อยืดที่เค้าออกแบบเอง เป็นลายกราฟฟิกที่มีลายเส้นเยอะๆ แล้วเอาไปขายบน Amazon ปรากฏว่าขายดีมากกกก ทั้งๆที่บน Amazon ก็มีคู่แข่งที่ขายเสื้อเยอะ แต่งานของเค้ากลับขายได้จนหมดสต๊อค
เค้ายังบอกอีกว่าให้ทำธุรกิจที่สร้างผลตอบแทนได้เร็วที่สุด ถ้าเราใช้เวลา 6 เดือนในการสร้างเว็บไซท์ และอีก 6 เดือนในการทำสินค้ามาขาย วิธีนี้ยังงัยก็ไม่มีทางเวิร์คเพราะมันเสียเวลามากเกินไป เค้าก็เลยให้แนวคิดเรื่องการสร้างเงิน $10,000 ให้เร็วที่สุดว่า
- หาแหล่งทรัพยากรที่ดีนำมาใช้กับวิธีที่เคยมีคนทำสำเร็จมาแล้ว
- เรียนรู้และลงมือทำด้วยความรวดเร็ว
ยิ่งคุณใช้เวลาสร้างให้เสร็จเร็วได้เท่าไหร่ธุรกิจของคุณก็จะไปได้เร็วขึ้นเท่านั้น
อีกตัวอย่างที่เค้าได้เล่าให้ฟังเป็นเรื่องของผลงานชิ้นล่าสุด ซึ่งเค้าได้พัฒนาเครื่องออกกำลังกายที่สามารถพกพาไปในขณะออกเดินทางได้ โดยทำเป็นบาร์โหน ใช้งานได้ด้วยการเอาไปวางตรงขอบประตู จากนั้นก็ออกกำลังกายได้เลย
สินค้าที่เค้าสร้างขึ้นนี้ เค้าจ้างดีไซน์เนอร์และวิศวกรมาพัฒนาแบบและขึ้นตัวอย่าง ใช้เงินลงทุน $3,000 แล้วก็เอาไปนำเสนอขายใน Kickstarter ทำเป็นวิดีโอพรีเซนเทชั่นดีๆ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับดีมาก มีคนร่วมระดมทุนกว่า $170,000 ที่มันได้รับการตอบรับที่ดีเป็นเพราะมันช่วยแก้ปัญหาให้กับนักเดินทางที่ชอบออกกำลังกาย ใช้งานง่าย จัดเก็บง่าย
และที่สำคัญคือมันเป็นสินค้าที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ไม่เคยมีสิ่งนี้มาก่อนในตลาด แล้วเค้าก็ให้คำแนะเพิ่มเติมว่าเดี๋ยวเค้าจะเอาสินค้านี้ไปขายบนอีเบย์ แล้วก็บอกให้ลูกค้าที่จ่ายเงินระดมทุนไปช่วยเขียนรีวิวให้หน่อย แลกกับส่วนลดอีก 10-20% เพื่อให้สินค้าดูน่าเชื่อถือขึ้น วิธีนี้ก็เจ๋งไม่เบา
คำแนะนำที่เค้าให้ไว้
- สร้างด้วยความรวดเร็ว
- คิดเรื่องสินค้าให้ลึกขึ้น
- ผสมรวมโมเดลธุรกิจที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเวิร์คกับการคิดนอกกรอบ
- หาผลกำไรที่ยั่งยืน
สิ่งที่ Derek ได้บอกไว้นั้นช่วยเปลี่ยนระบบและวิธีคิดเรื่องการสร้างสินค้าและการทำธุรกิจได้มากเลยทีเดียว เหมือนกับว่าเราต้องวางแผนให้ดีตั้งแต่แรก คิดให้จบกระบวนการ จากนั้นก็เริ่มลงมือทำให้กระชับเวลาที่สุด วิธีนี้จะช่วยให้ธุรกิจของเรานั้นไปได้ไกลมากกว่าเดิมแน่นอน
Mike LaRosa
เคยทำงานเป็นถึงผู้จัดการในร้านสตาร์บัคที่อายุน้อยที่สุด แต่ก็อย่างที่รู้ๆก้นว่าชีวิตมนุษย์เงินเดือนมันน่าเบื่อขนาดไหน ถึงจะได้ตำแหน่งที่สูงขึ้น รายได้ดีขึ้นแต่ก็ไม่ได้ทำให้เค้ารู้สึกว่ามีความสุขเลย เค้าก็เลยลาออก แล้วก็ย้ายไปหางานใหม่ ซึ่งพอทำไปได้ซักพัก ชีวิตก็กลับมาวนลูปเดิมอีก ตื่นเช้าไปทำงาน กินข้าว ทำงานเสร็จกลับบ้าน แล้วนั่นเลยทำให้เค้าคิดว่าชีวิตของเค้าห่วยมาก มีอะไรจะแย่กว่านี้อีกมั้ย เค้าเปลี่ยนงานไปถึง 3 รอบเพื่อมาพบว่าไม่ได้มีอะไรดีขึ้นเลย สุดท้ายเค้าก็ได้มาเจอเพื่อนคนนึงที่ Co-Working Space แล้วชีวิตของเค้าก็เปลี่ยนไป เค้าได้เริ่มพูดคุยถึงการทำธุรกิจใหม่กับคนที่เจอที่ Co-Working Space นั่นแหละ
เค้าก็เลยให้คำแนะนำกับทุกคนว่า อย่าทำงานอยู่แต่ที่บ้านเลย มาที่ Co-Working Space เถอะ แล้วจะได้เจอเพื่อนร่วมทางดีๆอีกเยอะ หรืออาจจะได้เจอ Business Partner ด้วยก็เป็นได้ ซึ่งใครคนนั้นอาจจะเปลี่ยนชีวิตคุณไปเลย จุดประสงค์ของไมค์ คืออยากให้ทุกคนมานั่งทำงานกันที่ Co-Working Space เค้าก็เลยสร้างเว็บไซท์ที่ชื่อว่า Coworkaholic ขึ้นมา เป็นแพลทฟอร์มที่ใช้สำหรับค้นหา Co-Working Space ดีๆมีคุณภาพได้จากทั่วโลก
Johny FD
Johny FD Blog มีอาชีพเป็น Blogger, Youtuber, E-Commerce, Investor
เค้าเป็นคนริเริ่มจัดงานนี้และจัดมาอย่างต่อเนื่อง ปีนี้ก็เข้าปีที่ 4 แล้ว ซึ่งดิจิตอลโนแมดหลายๆคนจะต้องรู้จักเค้า เพราะเค้าถือเป็นคนแรกๆที่นำเทรนด์การใช้ชีวิตแนวนี้ เค้าเป็น Speaker ที่มาพูดในงานคนสุดท้าย และหัวข้อหลักที่เค้าเอามาแนะนำก็คือการ Add Value หรือการสร้างคุณค่าให้กับสินค้า
คำว่า คุณค่านั้น เค้าให้นิยามว่ามันคือสิ่งที่คนอยากจะแลกเปลี่ยนเงินเพื่อมัน ยิ่งคุณเพิ่มคุณค่าได้มากเท่าไหร่ คนก็อยากจะจ่ายเงินให้คุณมากขึ้นเท่านั้น สมมุติว่าเราอยากจะเขียนหนังสือซักเล่ม ก็ควรจะเป็นหนังสือที่มีคุณค่าเหล่านี้ เช่น
- ความบันเทิง
- ส่งต่อความรู้ และบทเรียนให้กับชีวิต
- ประสบการณ์จากโลก
- การเก็บสะสมเรื่องราว คติในการใช้ชีวิต
วิธีการสร้างเงินที่ให้มากขึ้นที่ Johny แนะนำ
- ลงทุนใน Positive ROI หรือ Return of investment แปลว่า การลงทุนในเรื่องดีๆจะช่วยให้คุณได้ผลตอบแทนคืนมา อย่างเช่น การอ่านหนังสือ การซื้อคอร์สเรียน การเข้าไปฟังงานสัมนา
- สร้างสรรค์คุณค่าที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้วก็ขายสินค้าเหล่านั้น จะเป็นสินค้าหรือบริการก็ได้
- ลงแรงทำงานเป็นอย่างแรก โดยไม่มีข้อแม้
- ใช้ระบบอัตโนมัติ จ้างงาน หาคนมาช่วยทำ ขยายเสกลให้ใหญ่ขึ้น
วิธีการสร้างรายได้เพิ่มอีกช่องทาง และเป็นสิ่งที่ต้องทำ
- ลิสต์หัวข้อการสร้างบริการบนเฟซบุ๊ค Upwork Fiverr ไม่ต้องสนว่ารายได้มันจะน้อยไปแต่มันจะช่วยพัฒนาความสามารถให้ตัวคุณเอง
- เพิ่มสินค้าเข้าไปบน Ebay, Amazon, Shopify, Kickstarter
- สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าแล้วก็พยายามสร้างรายได้จากมัน youtube, blog, podcast, website, course
- พยายามอัพเลเวลให้ทรัพย์สินของคุณ อย่างเช่น ความสามารถ เน็ทเวิร์ค ทักษะ ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
เค้าเล่าว่าตอนแรกเค้าก็คิดอะไรแบบง่ายๆเช่น สอนมวยไทย สอนดำน้ำโดยมีรายได้แค่ 30,000 บาท แล้วเค้าก็คิดว่าเค้าสามารถใช้ชีวิตแบบนี้ตลอดไปได้ จนเขียนหนังสือ เขียนบล็อก ทำ Podcast เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของเค้า เมื่อเวลาผ่านไปหลายปีก็เริ่มคิดได้ว่าถ้ามีรายได้แค่นี้คงไม่เวิร์คแน่ๆ ก็เลยหันมาจับธุรกิจ E-commerce ทำ Dropshipping นี่ล่ะ จนเริ่มมีรายได้เยอะขึ้น แล้วก็หารายได้จากทางอื่นๆเข้ามาด้วย ทั้งลงทุน ทั้งขยายธุรกิจ ขายหนังสือ ที่แน่ๆคือชีวิตมันไม่แน่นอน อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นเค้าเลยแนะนำให้ทุกคนพยายามหารายได้จากทางอื่นด้วย
ก่อนจะจบงานเค้าได้พูดถึงเพื่อนคนหนึ่งที่มีความสำคัญกับวงการ Digital Nomad มากๆ เค้ายกให้เป็นที่ปรึกษา เป็นครูใหญ่ให้กับเหล่าดิจิตอลโนแมดที่เพิ่งเริ่มต้น ชื่อว่า Rob ถ้าไม่มี Rob ชุมชนชาวโนแมดที่เชียงใหม่คงไม่ใหญ่ขนาดนี้ ซึ่ง Rob นั้นเพิ่งเสียชีวิตไปไม่นานมานี้เองจากอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์ชน นับเป็นการสูญเสียครั้งสำคัญของพวกเค้าเลย พร้อมกับเตือนไว้ว่าให้ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง อย่าประมาท อะไรก็เกิดขึ้นได้ เรื่องนี้เป็นเหมือนอีกบทเรียนหนึ่งให้พวกเค้าได้รู้จักชีวิตมากขึ้น
สรุป งาน Nomad Summit
งาน Nomad Summit ครั้งนี้ถือว่าดีทีเดียว ได้รับข้อมูลเรื่อง Independent Location Business หรือการทำธุรกิจแบบที่มีอิสระทางด้านสถานที่ ได้เยอะเลย งานนี้จะเหมาะกับคนที่มีพื้นฐานทางด้านธุรกิจของเหล่าดิจิตอลโนแมดหรือแบบออนไลน์อยู่บ้างแล้ว จะไม่งงและสามารถเอาแนวคิดไปต่อยอดได้ ทำให้เห็นไอเดียของธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้นไม่ได้จำกัดแค่เรื่องการขายสินค้าเพียงอย่างเดียว คนที่มาฟังก็ตั้งใจกันมากเลย พอเข้าห้องปุ๊บมีคนขึ้นบนเวทีทุกอย่างก็เงียบกริบ แต่ละช่วงของ Speaker จะให้ถามคำถามกันได้ ประมาณ 3 คน ถือเป็นการแลกเปลี่ยนความเห็น ไขข้อข้องใจได้ดีเลย กว่างานจะเลิกก็ 6.30 ความรู้เต็มอิ่มมาก ต้องพยายามเอามาปรับใช้ให้ถูกทาง
หลังจากงานนี้ช่วงบ่ายของอีกวันเค้าก็จะมีงาน Pool Party เอาไว้ให้ทำความรู้จักกันอีก พวกเค้าดูแฮปปี้กันมากเลยล่ะ ส่วนเราเนื่องจากติดว่าต้องปั่นงานให้เสร็จเลยไม่ได้ไปด้วย เอาจริงๆก็เขินน่ะ ทำตัวไม่ถูกแล้วก็ไม่ใช่คนที่ชอบการสังสรรค์กับคนแปลกหน้าเยอะๆเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นกลุ่มเล็กๆก็โอเคอยู่
ถ้าถามว่าเราได้อะไรจากงานนี้ เราว่ามันช่วยเปิดมุมมองทางความคิดและการทำธุรกิจในสไตล์ของ Independent Location Business และไลฟ์สไตล์ หรือการทำให้ธุรกิจไม่ยึดติดกับเรื่องพื้นที่ที่ใช้ เพราะเราก็อยากมีฟีลลิ่งว่าไปเล่นสกีที่โคโรลาโดทั้งอาทิตย์ แต่ก็ยังสามารถสร้างรายได้ แล้วก็ทำมาร์เก็ตติ้งไปด้วยได้เพราะข้อมูลทุกอย่างมันอยู่บนแล็ปท็อปและโลกออนไลน์หมดแล้ว
ถ้าเพื่อนๆเห็นว่างานนี้มีประโยชน์ ปีหน้าก็เตรียมตัวซื้อตั๋วเข้างานได้ที่นี่เลย www.nomadsummit.com
สำหรับสาย Nomad ที่รักการเดินทาง เรายังมีงานสัมนาสนุกๆ มาแนะนำให้ลองไปตามกันดู ทางนี้เลย
https://www.nomadcruise.com/ ไปทำความรู้จักกับเหล่าโนแมดทั่วโลกกันได้ที่เรือสำราญ ลองไปล่องทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซัก 2 อาทิตย์ แล้วก็เรียนรู้การทำธุรกิจออนไลน์ไปด้วย
http://nomadtrain.co/ สำหรับใครที่อยากนั่งรถไฟยาวๆสายทรานส์ไซบีเรียก็ต้องนี่เลย ได้รู้จักทั้งเพื่อนใหม่ แล้วก็ได้คุยธุรกิจกันด้วย
ส่วนใครที่อยากมีธุรกิจ อยากสร้างแบรนด์ตัวเองแบบพวกเค้าบ้างก็เข้ามาศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมในเว็บนี้ได้เลยจ้า
ถ้าเห็นว่าเรื่องนี้มีสาระก็ช่วยแชร์ให้ด้วยน้า